วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รู้อย่างขงเบ้ง (6) : สูตรลับแห่งความมั่นคงในราชอาณาจักร

       ในชีวิตจริงของคนเรา เวลาทำงานต่างๆ เราคงไม่อยากเจอสถานการณ์ที่คนในแผนกทุกคนต้องมานั่งกังวลใจ ทว่าในยามที่คนในหน่วยงานเราต้องพบกับการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ ในระหว่างช่วงนี้ หลายคนอดที่จะไม่กังวลใจมิได้ เพราะมักมีข่าวลือแปลกๆเสมอ ในยามที่ขงเบ้งรับมอบอำนาจจากเล่าปี่ มาจับงานของผู้นำอย่างเต็มตัว ก็ต้องพบกับความไม่มั่นใจของคนในก๊กอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ขงเบ้งใช้วิธีใดสยบใจคน พาทีมให้รอดกันหรือ คนยุคนี้ควรเรียนรู้ เลียนแบบอะไรจากเขาได้บ้าง อาจารย์เจ้าเก่า 赵于平 เล่าในสไตล์  麻辣说三国 เหมือนเดิม ในหัวข้อ “ตำรับลับกล่อมใจคน”


       ฤดูใบไม้ร่วง เดือนสิงหา ปี ค.ศ.223 ฮ่องเต้วัยละอ่อนเล่าเสี้ยนเพิ่งจะครองบัลลังก์ นั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องมีเหตุให้นั่งไม่ติดที่ เนื่องด้วยว่าภัยใหญ่กำลังคุกคามจ๊กก๊ก วุยก๊กจะทำสงครามห้าทัพ ยกมาในทิศทางต่างๆรอบก๊กเลย ประกอบไปด้วยทัพโจจิ๋น ยกมาสิบหมื่น เข้าทางด่านเองเป๋งก๋วน ทัพที่สองคือทัพเบ้งตัด ยกจากส้างหยง จำนวนสิบหมื่น เข้ามาตีทางฮันต๋ง ทัพที่สามจากซุนกวน ยกมาทางแฮเค้า จำนวนสิบหมื่น ทัพที่สี่ กษัตริย์เกี่ยงนามคอปี่ ยกมาสิบหมื่นเข้าทางเซเปงก๋วน ทัพสุดท้าย ทัพเบ้งเฮ็ก ยกเข้ามาตีเอ๊กจิ๋วสี่เมือง

 แผนที่เดินทัพของวุยก๊กตามนิยายโดยสังเขป

       ห้าทัพนี้รวมกำลังได้ห้าสิบหมื่น หมายจะยกมาเผด็จศึกในทีเดียว จ๊กก๊กต้องพบกับศึกครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่การสร้างก๊กมา แถมขนาดและขุมกำลังก๊กในตอนนั้นก็หดลงไปเยอะเลยทีเดียว ห้าทหารเสือตายไปแล้วสาม แถมหลังศึกอิเหลงมา ทหารยังไม่ฟื้นตัวดีเลย เล่าเสี้ยนได้แต่เอามือก่ายหน้าผาก แถมในก๊กยังเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นอีกอย่าง ท่านสมุหนายกจูกัดเหลียงก็ดันไม่เข้ามาทำงานอีก นอนเปื่อยอยู่บ้าน ประตูปิดมิดชิด คนก็สงสัยว่าทำไมขงเบ้งหยุดงานไปดื้อๆ คนรุ่นหลังก้ว่าขงเบ้งไม่พอใจอะไรหรือเปล่า เขากลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ สองจิตสองใจไปแล้วหรือ

       เล่าเสี้ยน ฮ่องเต้ป้ายแดงเห็นว่าไม่ได้การ จะต้องไปดูด้วยตาของตนเองให้แน่ชัด พอมาถึงหน้าประตู ก็ถามยามหน้าบ้านว่าท่านนายกไปไหนหรือ ยามได้แต่ส่ายหน้า ตอบว่าผมก็ไม่รู้ จะสังเกตได้ว่าขงเบ้งชอบเล่นกลยุทธ์นี้กับครอบครัวตัว “เล่า” มาก คือเวลาสำคัญมักไม่ค่อยอยู่ให้เจอหน้า คนพ่อโดนไปสมัยสามเยือนกระท่อมหญ้า คนลูกก็กำลังจะเจอแบบเดียวกัน เล่าเสี้ยนก็ลงจากรถ เดินเข้าประตูบ้าน ก็ไปเห็นขงเบ้งกำลังเปลี่ยนเสื้อ ในมือถือเบ็ด ออกไปนั่งที่ริมสระ ที่เต็มไปด้วยปลาทอง ลองคิดสิว่าในใจของเล่าเสี้ยนตอนนั้นจะคิดยังไง

       ความรู้สึกของเล่าเสี้ยนคงประมาณว่าข้าร้อนรนจะเป็นจะตาย แต่ท่านกลับมานั่งดูปลาหน้าตาเฉย ไม่เห็นหัวข้าเลยหรือ นิยายซานกว๋อเหยี่ยนอี้เขียนไว้ว่าเล่าเสี้ยนยืนจ้องอยู่ด้านหลังขงเบ้งนานพอดู จึงค่อยเปิดปากพูดอย่างช้าๆ การกระทำสองอย่างของเล่าเสี้ยนนี้แสดงให้เห็นถึงใจของเล่าเสี้ยนที่ตอนนี้ทั้งแปลกใจระคนกับโมโห ผสมกับความสิ้นหวังหน่อยๆ เขาพูดอย่างช้าๆว่า “ท่านสมุหนายก สบายใจจังนะ?” ขงเบ้งจึงค่อยๆหันหน้ากลับมาประจันกับฮ่องเต้องค์ใหม่นี่ ปล่อยให้เล่าเสี้ยนบ่นว่าไปสักพัก จึงค่อยหัวเราะออกมาดังๆ แล้วอธิบายว่ากระหม่อมไม่ได้นั่งดูเปล่าๆนะ แต่กำลังนั่งคิดแผนตะหาก

       จากนั้นขงเบ้งจึงอธิบายแผนของตัวเองให้ฟัง แต่ก่อนจะเล่าแผน เรามาดูกันก่อนว่าทำไมขงเบ้งจึงไม่ไปเข้าวังทำงาน กลับมานั่งดูปลาอย่างชิลๆ เขามีเหตุผลทางจิตวิทยารองรับอยู่เบื้องหลัง ซานกว๋อเหยี่ยนอี้ขนานนามตอนนี้ไว้ว่า “安居平五路 นั่งอยู่บ้านสยบห้าทัพ ห้าทัพนี่ก็แค่ 虚张声势 ของหลอกเด็ก สงบได้ง่ายดาย แต่ปัญหาที่ควรจัดการก่อนอันดับแรกไม่ใช่การจัดทัพ แต่เป็นการสงบใจคน หากขงเบ้งเข้าๆออกๆวังหลวง จะพาทุกคนสับสนอลหม่านเอา

       ขงเบ้งที่นั่งฟังเพลง ดูปลาอยู่บ้าน เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้นำอย่างเราน่ะไม่เดือดร้อนนะ ลองนึกภาพตามดู หากเราเห็นภาพของผู้นำที่ไม่ร้องไห้ออกสื่อ เอาแต่ยิ้มอย่างมั่นใจ คนรอบข้างจะคิดว่าเขาไม่รีบร้อนหรือหวาดกลัวอะไร คงเรื่องจิ๊บๆแหละม้าง ทำไมเราจะต้องไปเดือดร้อนตามเขาล่ะ เสริมความมั่นใจให้คนรอบข้าง พอฝ่ายตรงข้ามเห็นก็จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ก็จะไม่รีบร้อนลงมือ ประวิงเวลาได้อีกหน่อย ฝ่ายเราไม่ตระหนก ฝ่ายตรงข้ามไม่รีบร้อน ภาพรวมของศถานการณ์จึงสงบขึ้นมาได้บ้าง จึงขอกล่าวว่าในยามสำคัญ ผู้นำต้องทำให้ลูกน้องมีใจสงบนิ่ง จึงจะคุมสถานการณ์ได้อยู่มือ ไม่อาจให้ร้อนรนอลหม่านได้ 

อยู่บ้านสยบห้าทัพ อีกเรื่องหนึ่งที่มีเพียงในนิยาย
       การสงบใจของผู้นำ ถือเป็นก้าวแรกของการจัดการปัญหาทั้งมวล ขั้นตอนต่อไปคือมีวิธีการแก้ปัญหารองรับ ขงเบ้งแจกแจงวิธีการรับเส้นทางทัพสายต่างๆไว้ว่า ให้ม้าเฉียวไปยันทัพที่เซเป๋งก๋วน จัดทัพไปใหญ่หน่อย ด้วยฝีมือม้าเฉียว ต้องชนะกลับมาแน่ ต่อมาก็ให้อุยเอี๋ยนไปรับมือเบ้งเฮ็ก อันนี้ทัพน้อยหน่อยก็ได้ ให้จัดทัพเดินเข้าเดินออก ติดธงประดับประดาเยอะหน่อย เบ้งเฮ็กก็กลัวแล้ว แล้วต่อไปก็สั่งการให้จูล่งไปกันด่านเองเปงก๋วน ด่านนี้รับง่ายบุกยาก ฝีมือของจูล่งเอาอยู่แน่ๆ ด้านทัพเบ้งตัดนี่เล่นง่ายหน่อย เห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทกับลิเงียมนิ ให้ใครปลอมลายมือลิเงียมเขียนจดหมายส่งไปต่อว่าหน่อยเป็นใช้ได้ ส่วนทัพซุนกวนไม่ต้องทำอะไรมัน พอเห็นทัพอื่นไม่บุกเดี๋ยวมันก็กลับไปเอง เพื่อกันความผิดพลาด ขงเบ้งจะจัดทัพเสริมไปสามหมื่น โดยมีกวนหินเตียวเปาเป็นตัวหลัก รอสนับสนุนด้านที่เสียหาย แค่นี่ก็เรียบร้อย

     เล่าเสี้ยนฟังจบ จากหน้าบึ้งเป็นรอยยิ้มทันที ภูเขาอันแน่นอก มีเทวดามายกออกไปได้ ก็สงบลง หัวเราะออก ร้องเพลงได้ ก่อนหน้านี้จะมาเอาโทษอยู่แท้ๆ ตอนนี้มานั่งจิบเหล้าแล้วก็กลับวังไป

       ทีนี้จะมาแจกแจงวิธีสงบใจคนสี่อย่างของขงเบ้งกัน

  • ข้อแรก สงบใจทีมงาน ให้ยังเข้าประจำที่
       จะคุมวงกลม ก็ต้องอาศัยการคุมจุดศูนย์กลางให้อยู่ ถ้าจุดศูนย์กลางไม่แน่ชัด ยังไงก็เป็นวงกลมไม่ได้ อย่างดีก็ได้แค่วงรี จะสงบใจทีมงาน ต้องคุมใจหัวหน้ากลุ่มให้อยู่ให้ได้ก่อน ถามว่าอะไรคือ “เข้าประจำที่” ก็คือจัดสรรให้ทีมงานแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว นี่จึงสามารถหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย ความขัดแย้งได้ ขอให้ทุกคนลองดูว่าแต่ไหนแต่ไรมา การเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนถ่ายอำนาจทางการเมืองการปกครอง สิ่งหนึ่งที่มักเป็นปัญหาโดยตลอดก็คือการแก่งแย่งตำแหน่งหน้าที่ ลองนึกถึงการนั่งรถไฟ (ในจีน) ดูสิ พอเดินเข้าตู้รถไฟได้ พนักงานก็จะประกาศว่าขอทุกท่านโปรดหาที่นั่งให้ตนเองอย่างรวดเร็วด้วย ถามว่าทำไมต้องรวดเร็ว เพราะพอนั่งได้ก็สบายใจ มีที่นั่งก็ไม่วุ่นวาย เกิดความเป็นระเบียบ

       เช่นเดียวกับทีมงาน คุณต้องจัดสรรตำแหน่งให้เขาเข้าทำโดยเร็ว ก็เหมือนกับตอนเล่นเก้าอี้ดนตรี หากเก้าอี้ไม่มีการปิดป้ายชื่อไว้ ทุกคนก็จะคว้าเก้าอี้กันอย่างอลหม่าน แต่ถ้าติดป้าย ทุกคนก็จะนั่งได้สบายใจ ไม่ชุลมุน (แล้วมันจะสนุกตรงไหนเนี่ย?) ขงเบ้งรีบระบุตำแหน่งให้คนเข้าไปนั่ง ความวุ่นวายจะได้ไม่เกิด แต่ก่อนที่จะจัดสรรตำแหน่ง จัดหาตัวคน ขงเบ้งลงมือทำสิ่งหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต่อการจัดระเบียบจิตใจ แถมถูกละเลยได้ง่ายมาก นั่นก็คือการทำให้สาธารณชนเกิดความมั่นใจ ด้วยการเอาพินัยกรรมของเล่าปี่มาเปิดเผย ลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งตัวโตๆ

       ถามว่าทำแบบนี้ไปทำไม เราทุกคนคงเคยประสบมาบ้าง เมื่อเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆในประเทศ สิ่งหนึ่งที่มหาชนต้องการมากที่สุดคือความเชื่อมั่น ทุกคนอยากทำความเข้าใจกับภาพรวม ต้องการความจริง การสงบใจสาธารณชนถือเป็นข้อสำคัญ ในขณะที่คนกำลังแก้ไขปัญหาสำคัญ ส่วนมากมักจะละเลยการกระทำข้อนี้ คือไม่สนใจให้ความเชื่อมั่นแก่คนทั่วไป ไม่สนใจประกาศข้อมูลล่วงหน้า ให้มหาชนได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ผู้นำหลายคนมักคิดว่ายังไม่ได้เริ่มเป็นรูปธรรมเลย ไว้ลงมือเสร็จแล้วค่อยประกาศว่ามันดียังไง เจ๋งแค่ไหน ผลที่ได้มักออกมาแย่กว่าที่คิด 

       คนเรามักมีความต้องการด้านข้อมูล หากคนแก้ไม่พูด ก็จะมีคนอื่นมาพูดให้ บนที่ดินแห่งข้อมูลข่าวสารของเรา หากเราไม่ปลูกผัก ก็จะมีคนอื่นมาปลูกพืชอื่นแทน ซึ่งมักจะเป็นวัชพืช พืชมีพิษ ข่าวลือจะแพร่สะพัดไปตามที่ต่างๆ ในกลุ่มชนบ้าง บนเน็ตบ้าง มหาชนถูกขับเคลื่อนด้วยข่าวลือ หมดความเชื่อมั่น จากเรื่องดีจะกลายเป็นเรื่องร้าย สถาณการณ์แย่ลงไปอีก ฉะนั้น การจะสงบใจประชาชน ต้องให้คนมีความเชื่อมั่นก่อนเลย

       ขงเบ้งประกาศเนื้อหาของพินัยกรรมที่เล่าปี่เขียนไว้ก่อนตาย ในบันทึกซานกว๋อจื้อได้บอกว่าแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกระบุอาการป่วย เขียนไว้ว่าข้าปวดท้อง ท้องเสีย อาการหนักมาก หมดทางเยียวยา ได้ยินว่าคนอยู่ได้ถึง 50 ปี นี่ก็ยาวพอดู อยู่มาจะหกสิบกว่าแล้ว ถือว่าไม่เสียที เรามาดูคีย์สำคัญในพินัยกรรมฮ่องเต้กัน คือมักจะเขียนว่าฮ่องเต้ตายยังไง ตายลักษณะไหน ปัญหานี้จะว่าเล็กก็เล็ก ว่าใหญ่ก็ใหญ่ นอกจากนี้พินัยกรรมยังแฝงไว้ด้วยนัยยะอันอึมครึมทางการเมืองการปกครอง อาจจะเกี่ยวข้องกัน สืบค้นได้ แต่งเสริมได้ ป้ายสีได้ หากมีคนนำสาเหตุการตายของฮ่องเต้มาเขียนเป็นบทความได้ บทความนั้นจะต้องยิ่งใหญ่แน่ๆ คนที่เขียนได้ต้องไม่ธรรมดา และมีคนหลายคนรอบทความแบบนี้อยู่ในสังคมอย่างมากมาย

       พินัยกรรมนี้เปิดตัวด้วยสาเหตุการตาย และยังมีพื้นที่ให้เจ้าตัวได้ออกความคิดเห็น ทุกคนย่อมเชื่อถือ การระบุสาเหตุชัดเจน และบ่งบอกว่าไม่เสียใจอย่างชัดแจ้ง นี่ทำให้คนคลายใจไปเยอะ พูดถึงจุดนี้ต้องขอนับถือเล่าปี่เขา เริ่มมาไม่พูดถึงการปกครอง เศรษฐกิจ การรบรุก ไม่พร่ำบ่นอุดมการณ์ เรื่องราวสังคม ประชาไพร่ฟ้า เพียงพูดถึงสาเหตุการตายและอารมณ์ส่วนตัว เอาความจริงและความในใจมาพูดชัดเจน พินัยกรรมนี้ทำให้คนที่สงสัยในการตายได้คลายปมปัญหา ทั้งยังให้พวกสร้างข่าวลือหมดข้ออ้างกุเรื่องไปด้วย

       ส่วนที่สองของพินัยกรรม กล่าวสนับสนุนกับลูกหลานที่เหลืออยู่ไม่กี่คน บอกในทำนองว่าลูกเอ๋ย จะเริ่มงานใหญ่ต้องทำจากงานเล็กๆก่อน การทำเลวก็เหมือนเลี้ยงม้า ไม่ว่าเรื่องเลวจะเล็กจะใหญ่ เพียงแค่คิดก็เหมือนปลดบังเหียนจากม้าป่า จะไล่จับทีหลังก็จับไม่อยู่ หยุดก็หยุดไม่ได้ การทำดีก็เหมือนปลูกพืช ขอแค่คิดก็เหมือนเริ่มเพาะหน่ออ่อน อย่าดูถูกว่ามันต้นเล็ก ผ่านไปไม่นานเดี๋ยวมันก็จะเติบใหญ่ ผลิดอกออกผลให้เราได้ใช้ประโยชน์เอง ถามว่าทำไมเล่าปี่สอนลูกด้วยเรื่องพวกนี้ เพราะลูกเขาเพิ่งจะวัยรุ่น ไม่ทันไรก็ได้เป็นฮ่องเต้ ตำแหน่งใหญ่โต มีสมบัติพัสถาน เดี๋ยวจะกลายเป็นคนมือเติบ เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ เล่าปี่บอกให้คนรุ่นที่สองของตัวเองต้องคุมใจตัวเองเป็น เรืองชั่วแมเล็กน้อยก็ไม่เอา เรื่องดีแม้เล็กน้อยก็ไม่มองข้าม

       มาถึงส่วนที่สาม ส่วนนี้เกี่ยวข้องกับขงเบ้งเต็มๆ เล่าปี่บอกว่าขอให้ลูกเห็นท่านสมุหนายกเหมือนพ่อแท้ๆของตัวเอง จงเชื่อมั่นและเคารพในตัวเขา ส่วนนี้เชิดชูศักดิ์ศรีของขงเบ้งมากมาย ขงเบ้งใช้พินัยกรรมนี้ปลอบประโลมประชาชนและขุนนางที่ร่วมงาน เรียกความเชื่อมั่นคืนมา นอกจากนี้ขงเบ้งได้ดำเนินกลยุทธ์อีกหลายชุด เริ่มตั้งแต่ปรับกำลังใจให้เล่าเสี้ยน จัดงานเคารพศพเล่าปี่อย่างใหญ่โต แต่งตั้งบิฮูหยิน กำฮูหยินย้อนหลังให้เป็นฮองเฮา แล้วก็เลื่อนตำแหน่งตนให้เป็นหวู่เซียงโหว ปกครองเอ๊กจิ๋ว เรียกได้ว่าเขาจัดระเบียบจิตใจครบเรื่องทั้งชายหญิง นายบ่าว คนที่ตายแล้วและมีชีวิตอยู่  สิ่งที่ขงเบ้งทำทั้งหมดนี้เรียกว่า 名正则言顺 位定则心安 ความกระจ่างชวนให้สงบวาจา ตำแหน่งตรงพาให้ใจสงบ

  • สอง สงบไม่ออกตัว เสริมแกร่งให้อำนาจ
       มีคนถกเถียงกันมาตลอดว่าขณะที่ห้าทัพกำลังจะเดินเข้าจ๊กก๊ก ทำไมขงเบ้งไม่ไปแจกแจงวิธีช่วยเหลือในสภาหรือวังหลวงเลย กลับนั่งมองปลาเล่นในบ้าน รอให้ฮ่องเต้ไปหาด้วยตนเอง ทั้งๆที่เขาจะเดินไปบอกแผนแต่เนิ่นๆก็ได้ ปล่อยให้กังวลกันทำไม ก่อนจะถกข้อนี้ เรามาพุดถึงรายละเอียดสองอย่างก่อน อย่างแรกคือตอนฮ่องเต้ไปหาขงเบ้งที่บ้าน เจอยามเฝ้าประตูบอกว่าไม่ว่าขุนนางแม่ทัพผู้ใดก็ล้วนแต่ไม่อาจเข้าพบ ข้อมูลนี้บอกเราว่านอกจากฮ่องเต้แล้วคนอื่นก็อย่าหวังจะได้เจอหน้า เขาต้องการพบแค่ฮ่องเต้เท่านั้น

       รายละเอียดที่สอง คือตอนที่เล่าเสี้ยนมาหาขงเบ้งถึงบ่อสระปลานั้น ทั้งขงเบ้งและเขาต่างก็ทำกิริยาเงียบๆ เล่าเสี้ยนยืนเก้ๆกังๆอยู่หลังขงเบ้ง ขงเบ้งก็เอาแต่นั่งตกปลา ทั้งคู่ไม่พูดอะไรเลยอยู่นานมาก กรณีนี้เหมือนตอนสามเยือนกระท่อมหญ้า เล่าปี่เอาแต่ยืนรอขงเบ้งที่หลับอยู่ ขงเบ้งก็กัดฟัดทนนอนรอว่าเมื่อไหร่เล่าปี่จะไปซะที ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนแต่เป็นการเสแสร้งเพื่อหวังผล ขงเบ้งรอให้เล่าเสี้ยนพูดก่อน เพื่อหวังจะเอาการกระทำนี้มาเสริมสร้างบารมีให้ตนเอง

       ที่ขงเบ้งต้องใช้วิธีนี้ เพราะช่วงหลังๆตอนที่ขงเบ้งมาทำงานให้เล่าปี่ เขาทำแต่งานแนวหลัง ไม่มีโอกาสได้นำทัพวางแผนศึกอะไรมากมาย พอถึงตอนนี้ปัญหาที่เกิดคือขุนนางแลแม่ทัพเริ่มคลางแคลง ไม่เชื่อใจในตัวขงเบ้ง เกิดขงเบ้งสั่งการแล้วพวกทหารไม่ฟังจะทำไงดี ขงเบ้งจึงต้องดำเนินแผนยืมพลังเสริมบารมี เพื่อเพิ่มอำนาจให้ตนเอง ลองคิดถึงว่าเราเป็นมดตัวเล็กๆดู เราอยู่ๆของเราเกิดมีแมวหมามาเหยียบจะทำไง จะกินฮอร์โมนเร่งโตก็ไม่ได้ เห็ดมาริโอก็ไม่มี วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปยืนอยู่บนหลังช้าง ขู่ให้หมาแมวกลัว

       ในชีวิตจริงเราก็เห็นตัวอย่างเดียวกันเยอะแยะ อย่างเช่นว่าเรามีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งนามว่านายหลิว ทุกคนเห็นว่าก็แค่ตาลุงใจดี แสนจะอ่อนแอเงียบหงิม ไม่เห็นจะมีอะไรเด่น ไปสั่งงานใครเขาก็ไม่ฟัง ผู้นำจึงแก้ปัญหาด้วยการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ออกสื่อ เชิญเพื่อนของผู้นำ อดีตผู้บริหารที่เกษียณไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญมาชมนายหลิวออกสื่อพร้อมๆกัน ขับดันคุณค่าให้นายหลิวขึ้นไปอีก วิธีแบบนี้เรียกว่าเชิญนั่งเกี้ยว ยิ่งคนชมคนมาหาตำแหน่งยิ่งสูง ศักดิ์ศรีของนายหลิวยิ่งเยอะขึ้น ขงเบ้งต้องการใช้ฮ่องเต้เป็นเครื่องมือเพิ่มคุณค่าตนเองเช่นเดียวกับนายหลิวนี้

       พอถกมาถึงตรงนี้ อีกเรื่องหนึ่งที่ควรพูดถึงก็คือ ไอ้การ ”นั่งชิลๆคิดแผนสยบห้าทัพ” นี่มีจริงหรือเปล่า ก็ปรากฏว่าเรื่องนี้มีเฉพาะในนิยายซานกว๋อเหยี่ยนอี้เท่านั้น บันทึกซานกว๋อจื้อไม่ได้เขียนไว้ ฉะนั้นเรื่องนี้เกิดขึ้นเพียงในวรรณกรรมเท่านั้น หาใช่เรื่องจริงไม่ แม้จะเป็นเรื่องแต่ง แต่ก็แสดงถึงวิธีการแก้ปัญหาที่ฉลาดไม่น้อย ทว่าเรื่องราวในช่วงนี้มีสิ่งที่ ”เกินเรื่องเกินไป” อยู่สองอย่าง อย่างแรกคือเวลาที่ขงเบ้งยักย้ายถ่ายทัพ มีจูล่ง อุยเอี๋ยน กวนเป๋ง เตียวเปา และอื่นๆรวมกันกว่าแสนคน ทว่าเคลื่อนทัพยิ่งใหญ่กันทั้งที ฮ่องเต้ ฝ่ายปกครองส่วนกลางกลับไม่มีใครรู้เรื่อง เหมือนจะเป็นการกระทำอันอุกอาจไปหน่อย

       ยุคนี้สมัยนี้ พอคุณให้อำนาจแต่งตั้งใครมาทำงาน นั่นหมายถึงการอนุญาตให้ใช้อำนาจ แต่ว่ายังคงไว้ซึ่งสิทธิ์ที่จะรู้ข้อมูลอยู่ จะทำอะไรก็ช่าง แต่ขอให้รายงานมาด้วย ไม่ใช่คุณสั่งงานไปแล้วคนถูกสั่งขี่ม้าเปิดแน่บ แล้วก็ไม่รู้ข่าวคราว เป็นสิบเดือน ปีกว่าก็ไม่ทราบผล แบบนี้ใช้ไม่ได้นะ ผู้นำจำเป็นต้องรู้เรื่องราวเสมอ โดยเฉพาะเหตุการณ์ตัดสินความเป็นตายต่อองค์กร ต่อประเทศเรา ไม่รู้เรื่องอาจอนุมานได้ว่ามีแผนสมคบคิดบางอย่างอยู่แน่ๆ ที่เรื่องแบบนี้ไม่มีภัยเกิดขึ้นเป็นเพราะความซื่อของเล่าเสี้ยน และความคาดหวังอย่างสูงของเล่าปี่ ทำให้ขงเบ้งยังอยู่ดีมีแรง ไม่งั้นคงโดนข้อหากบฏไปแล้ว

       อีกเรื่องหนึ่งที่เกินขอบเขตก็คือเจตจำนงของเล่าปี่ ที่ให้ลูกหลานฮ่องเต้เรียกลูกน้องว่าพ่อ ลองไปหาดูได้ว่าแต่ไหนแต่ไรมา ไม่มีฮ่องเต้องค์ไหนเรียกขุนนางใต้อาณัติว่า “พ่อ” อย่างชัดแจ้ง การวางตัวระหว่างขงเบ้งกับเล่าเสี้ยนตามแบบนิยายเป็นอะไรที่ลักลั่นย้อนแย้งอย่างเห็นได้ชัด เมื่อครู่เรายังพูดว่าผู้นำสามารถยกระดับบารมีของลูกน้องได้ แต่ที่ขงเบ้งทำอยู่นี้แทบจะเรียกได้ว่าขี่คอฮ่องเต้อยู่รอมร่อ จากนิยายจะเห็นได้ว่าเราต้องนับถือความภักดีของขงเบ้ง นับถือสายตาและวิสัยทัศน์ของเล่าปี่ และความใจกว้างและอดทนของเล่าเสี้ยน ถ้าไม่มีสามสิ่งนี้ ขาดข้อไหนข้อเดียว จ๊กก๊กจบเห่แน่นอน

       จึงขอพูดว่า ความเชื่อมั่น(จากผู้อื่น)ก็เหมือนแก้วน้ำ ปัญญา(ของตัวเอง)ก็เหมือนน้ำร้อน ยิ่งมีความเชื่อมั่นเท่าไหร่ ก็ใส่น้ำร้อนได้เท่านั้น หากไม่มีความเชื่อมั่นมากพอ ระวังปัญญาจะลวกตัวเองตาย เหตุที่จ๊กก๊กยังเป็นไฟคุกโชนได้ เพราะมีปัญญาและความภักดีแบบขงเบ้ง และความเชื่อมั่นของผู้นำสองรุ่นกำกับอยู่

ขงเบ้งในตอนนี้มีทั้งบารมีสั่งการและความเชื่อมั่นแล้ว ก็ดำเนินกลยุทธที่สาม นั่นคือ

  • สาม แสดงความกล้าหาญ เสริมความมั่นใจ 
       ก่อนหน้าศึกห้าทัพเพียงไม่นานนัก วุยก๊บจ๊กในสมัยขงเบ้งได้มีการปะทะกันแล้ว ทว่าไม่ใช่ด้านการทหาร แต่เป็นด้านการโฆษณาชวนเชื่อ ทางวุยก๊กได้ส่งจดหมายห้าฉบับมาหาขงเบ้ง เพื่อลดทอนกำลังใจในการรบ ในบันทึกซานกว๋อจื้อก็มีเขียนไว้ จดหมายพยายามยวนยั่ว อธิบายสถานการณ์ อ้างคำอาณัติสวรรค์ โน้มน้าวให้ขงเบ้งยอมแพ้ แถมกระทำอย่างใหญ่โต ทำเอาคนในก๊กรู้เรื่องแล้วกังวลไปตามๆกัน ขงเบ้งแก้เกมด้วยการเขียนบทความส่งคืนไป ความว่าสมัยก่อน จักรพรรดิฮั่นนามหลิวซิ่ว รบที่คุนหยาง ใช้คนแค่แปดพัน เอาชนะทัพสี่สิบหมื่นของหวางหมั่งได้ ของแบบนี้พวกเราก็ทำได้ แม้เราจะน้อย แต่เรามีคุณภาพ ทุกคนพร้อมยอมตายไม่ยอมสยบ เพียงเราบุกขึ้นเหนือต้องชนะแน่ๆ

       พอบทความขงเบ้งแพร่ออกไป กำลังใจของชาวจ๊กก๊กก็กลับมา แถมฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิมด้วย เรื่องนี้บอกเราว่าเวลาที่เผชิญแรงกดดันจากภายนอก ผสมด้วยความไม่มั่นใจของคนภายใน สิ่งแรกที่ต้องทำคือเราต้องหาทางกระตุ้นกำลังใจของคนในกลับมาให้ได้ ขอแนะนำว่าคนที่เป็นผู้นำจะต้องคุมสองสิ่งของลูกน้องให้ได้ นั่นคือ “ดี(ในตับ)” และ “ตา” ดีคือเมื่อคนเราขาดแรงใจ หมดหวัง ผู้นำต้องกระตุ้นกำลังใจให้ได้ การคุมตาคือยามที่ลูกน้องมองไม่เห็นทางรอด สิ้นหวังในชีวิต คุณต้องกระตุ้นและแสดงออกซึ่งทางรอดให้เขาเห็น

       จะขอเล่าตัวอย่างเล็กๆน้อยให้ฟัง สมมุติว่ามีกัปตันเรือหนุ่มคนนึง ต้องพบกับกัปตันอาวุโสท่านนึง ออกทะเล แล่นไปได้หน่อยกัปตันแก่ก็ลากกัปตันหนุ่มมาเล็คเชอร์ ออกความเห็นนิดหน่อย ให้กระดาษเล็กๆไปแผ่นนึง บอกว่าเรามีโอกาสเจอพายุเข้า พอเจอพายุแล้วคุณต้องไปยืนที่หัวเรือ ซึ่งเป็นที่ๆอันตรายที่สุด แล้วอ่านสิ่งที่อยู่ในกระดาษแผ่นน้อยนั่นออกมาดังๆ แล้วจะช่วยชีวิตลูกเรือได้ทั้งหมด แต่ตอนนี้ยังดูไม่ได้นะ รอพายุเข้าก่อนถึงค่อยเปิดอ่าน กัปตันหนุ่มก็รับคำ เมื่อถึงเวลาออกเรือได้ชั่วครู่ พายุก็เข้ามาอากาศเปลี่ยนแปร มืดฟ้ามัวดิน ชาวเลมักพูดกันว่าพอช่วงแล่นเรือท่ามกลางพายุมักรอดยาก ทุกคนจะตายมากกว่ากลับฝั่งได้ ก็โกลาหลอลหม่าน

       เวลาของการใช้สิ่งที่เขียนในกระดาษมาถึงแล้ว กัปตันหนุ่มไปยืนที่หัวเรือ ควักกระดาษขึ้นมาดู เขียนไว้ว่า “ท่าเรืออยู่ข้างหน้า” แล้วตะโกนออกไปดังๆ “ทุกคนอย่าได้ตื่นกลัว ข้าเห็นแล้ว ท่าเรืออยู่ลิบๆ ข้างหน้านั่นเอง ช่วยๆกันหน่อย ต้องไปถึงได้แน่” ลูกเรือได้ฟังก็มีกำลังใจ เพราะ หนึ่ง ขนาดกัปตันยังยืนเฉย เราจะกลัวไปทำไม สอง ท่าเรืออยู่ไม่ไกล เรายังมีหวังรอด จากความโกลาหลจะเอาชีวิตรอด ก็เริ่มบรรเทาลง จนเหลือแต่ความสงบ ทุกคนขมีขมันในการคุมเรือ รอจนพายุอ่อนแรง พ้นเขตอันตรายออกมาได้ จึงเห็นซากเสาเรือ ซากศพจากที่อื่นลอยเป็นแพ ในขณะที่เรือของกัปตันหนุ่มไม่เป็นอะไรเลย ความเสียหายต่ำมาก

       กับตันหนุ่มผู้รอดชีวิตก็ไม่เข้าใจ ทำไมคำพูดแค่นี้ถึงได้ช่วยชีวิตลูกเรือได้ ก็เลยไปถามกัปตันอาวุโส เขาก็อธิบายว่าพายุน่ะไม่น่ากลัวหรอก แค่จัดการหางเสือ ใบเรือ คุมพังงาให้ได้ก็รอดแล้ว สิ่งที่น่ากลัวของพายุคือมันทำให้ใจคนไม่สงบ โกลาหลกัน จะตายเพราะไอ้นี่แหละ เรือจะล่มไม่ใช่เพราะแรงพายุเป็นปัจจัยหลัก สิ่งที่ทำเรือพังจริงๆคือความหวาดกลัวและความโกลาหลที่พายุพัดมาด้วยตะหาก อุปสรรคและภัยไม่น่ากลัว ความกลัวและความวุ่นวายจากภัยอุปสรรคต่างหากที่อันตราย เวลาอันตรายแบบนี้แหละที่ผู้นำควรลุกขึ้นมาให้ความสงบใจและความหวังกำลังใจแก่ลูกน้อง ในประวัติศาสตร์ก็มีมากมายหลายครั้งที่กองทัพไม่ได้แพ้เพราะความยากลำบากและภัยอันตราย แต่มักจะแพ้เพราะความวุ่นวายไม่สงบใจ และความอลหม่านเสมอ

ส่วนพวงมาลัยนี่แหละครับ เรียกว่าพังงาเรือ

       ขงเบ้งมีความสงบใจของทีมงาน ความเชื่อมั่นจากมหาชน และบารมีสนับสนุนจากฮ่องเต้แล้ว แต่ก็ยังลงมือทำงานไม่ได้ ถ้าไม่ได้ดำเนินกลยุทธ์ข้อสุดท้าย นั่นคือ

  • สี่ ใช้เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ เป็นแรงบันดาลใจ
       การทำงานทุกอย่างต้องมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เสมอ บางคนอาจบอกว่าไม่จำเป็น หน่วยงานของเราไม่มีแผนใหญ่อะไรหรอก ขอแค่ทำงานได้เงิน เลี้ยงเมีย/ผัว เลี้ยงลูก ผ่านชีวิตแบบมีสุข แค่นี้ก็พอ ขอบอกเลยครับว่านั่นมันพวกองค์กรหลักลอย ผมมักจะพูดกับเขาเสมอว่าการจะทำงานใหญ่ได้เนี่ย ไม่มีเงินไม่ได้ มีเงินอย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจลูกทีมด้วย

       ลองไปดูเรื่อง 108 ผู้กล้าแห่งเขาเหลียงซานสิ ก่อนจะนั่งเรียงแถว ซ่งเจียงได้ทำสิ่งที่สูงส่งอย่างหนึ่ง นั่นคือหน้าหอคุณธรรมจะปักป้ายผ้าเหลือง เขียนอักษรสี่ตัว 替天行道 ใจความว่า “ตัวแทนแห่งแนวทางของฟ้า” นี่คือความสูงส่งของซ่งเจียง เพราะอะไร คิดดูสิว่าที่เขาเหลียงซานมีทัพนับหมื่น กับร้อยแปดผู้กล้า กินเหล้ากินเลี้ยง ผลาญเงินเป็นว่าเล่น เขาเอาทุนจากไหน ก็ปล้นเอาน่ะสิ หากคุณให้ผู้พิชิตน้อย โจวทง สิงโตมังกรตาไฟ เติ้งเฟย เสือแคระ หวางยิง สามคนนี้ไปปล้นคน ปล้นที่ไหนก็ได้ ได้เงินแล้วก็เอามาใช้กินใช้นอน ไม่มีความขัดข้องละอายใจ แต่ถ้าให้วีรบุรุษอย่างอู่ซง หลู่จื้อเซินไปปล้นชาวบ้าน เขาย่อมมีความละอาย มีความข้องใจอยู่บ้าง เป็นเพราะอะไร เพราะว่างานเหล่านี้ไม่มีเอกลักษณ์สำคัญ ภาพลักษณ์เหมือนๆกันหมด





บรรยากาศหน้าหอคุณธรรมคงประมาณนี้

       วัยรุ่นหลายคนสมัยนี้มีความฉลาด มีมารยาท ความประพฤติดี แต่พอเข้าทำงานทุกวันกลับไม่ค่อยอยากหรือไม่เต็มใจทำ เป็นเพราะว่างานพวกนี้มันไร้เอกลักษณ์ ไร้ความหมาย รู้ว่าทำแล้วได้ตังค์แค่นั้น คนจะทำการใหญ่ได้ ต้องใส่เอกลักษณ์ให้กับงานของตนเอง นายซ่งเจียงในเรื่องร้อยแปดผู้กล้าได้เติมเอกลักษณ์ อุดมการณ์ให้กับกลุ่มด้วยการเขียนป้ายผ้า บอกว่าพวกเราไม่ใช่โจรธรรมดา แต่เป็นโจรคุณธรรม ปล้นมาเลี้ยงตัวเพื่องานคุณธรรม ปล้นมาให้คนอื่นเพื่อการกุศล เขาต้องการประกาศอย่างชัดแจ้ง ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีกว่าที่คิด

       กลับมาดูขงเบ้ง เขาก็พบปัญหานี้ มีแค่ผลประโยชน์ให้อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีเหตุผล มีคุณธรรมให้ด้วย ขงเบ้งด้านหนึ่งก็ให้สถานะเงินทอง ให้ตำแหน่งทำ อีกด้านหนึ่งเขาก็ประกาศคำขวัญประจำก๊กอย่างดุดัน คือ “กู้ราชวงศ์ฮั่น ปราบคนทรยศ” กับ “ไม่ขออยู่ร่วมกับโจรกบฏ ไม่ขอปกครองแค่ดินแดนเดียว” ใส่คำขัวญลงไปเพื่อแสดงเป้าหมายใหญ่ ทำให้งานที่ทำดูมีคุณค่าขึ้น งานของเราไม่พูดถึงเรื่องเงินไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เอาแต่เงินอย่างเดียว มีอุดมการณ์ด้วย กระตุ้นการขยันของคนทำงานขึ้นมาได้

       ขอบอกเลยว่าการทำงาน นอกจากจะต้องมีผลประโยชน์แล้ว ยังต้องมีอุดมการณ์ด้วย เงินทำให้คนทำงานได้ระยะหนึ่ง แต่อุดมการณ์ทำให้คนทำงานได้นานขึ้น ผลประโยชน์ทำให้คนเกิดแรงปะทุฮึดได้ในช่วงสั้นๆ อุดมการณ์ทำให้คนมีแรงใจทำในระยะยาว การทำงานคือการวิ่งช้าๆในระยะทางยาวๆ จะให้เร่งด้วยผลประโยชน์อย่างเดียวไม่ได้ เหมือนกับการฮึดวิ่งฝืนร่างกายในระยะสั้น ร่างกายจะเสียหายเอา ต้องมีทั้งสองอย่างงานถึงจะก้าวหน้า มีคุณภาพอย่างยั่งยืน

       ขงเบ้งแก้ปัญหาทางใจได้แล้ว มีความสงบทางการเมืองและสังคมแล้ว ศึกห้าทัพ (ในนิยาย) และศึกอื่นๆถูกแก้ไขได้แล้ว เขาก็เริ่มเตรียมการที่จะบุกแดนภาคกลาง ทวงคืนพื้นที่ให้ราชวงศ์ฮั่นแล้ว ใครๆก็อยากเสนอตัวมาทำการรวบรวมแผ่นดิน อุปสรรคข้อใหม่เกิดขึ้นมาท้าทายขงเบ้งแล้ว นั่นคือการคุมทัพขนาดใหญ่ ขงเบ้งคุมแม่ทัพไม่กี่คน กองพลเล็กๆก็ปัญหาไม่เท่าไหร่ นี่คุมทัพใหญ่เรือนหมื่นแสน คนประเภทไหนๆก็มีทั้งนั้น บางคนมีปัญหาเรื่องความประพฤติและมารยาท บางคนมีปัญหาเรื่องฝีมือและความรู้ความสามารถ ปัญหาแรกก็ประมาณว่าพังพอนจะเป็นพี่เลี้ยงให้ไก่ บอกว่าเป็นเรื่องดี ไม่มีหวังร้าย ปัญหาอย่างหลังก็แบบถั่วงอกริอยากเป็นไม้เท้า แก้ก็แก้ไม่ตก พึ่งก็พึ่งไม่ได้ คนสองแบบนี้อยู่ในมือคุณแล้ว จะคุมยังไงดี ลูกน้องแบบนี้นำปัญหามาให้ทุกวัน ก่อกวนไม่หยุดหย่อน ขงเบ้งจะแก้ปัญหาแบบไหน ใช้วิธีใดดัดหลังหรือกำจัด โปรดติดตามต่อตอนหน้าครับ

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รู้อย่างขงเบ้ง (5) : กลเม็ดเคล็ดลับเรียกความเชื่อใจ

       ในวงการงานของเรา มักจะมีคนระดับหัวกะทิ เวลาทำงานก็แสดงพลังออกเต็มที่เสมอ แม้กระนั้นก็ตาม คนประเภทนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาในการทำงาน คนแบบนี้มักจะมีปัญหาที่ชนชั้นลูกกระจ๊อกไม่มีสิทธิ์กลุ้ม นั่นคือปัญหาความไว้วางใจจากผู้นำ กลัวว่าจะมีการขัดขำสั่ง หรือพาลล้มตำแหน่ง หักเก้าอี้กันง่ายๆ ขงเบ้งก็เจอไม่ต่างกันเท่าไหร่ เล่าปี่นายเก่าเขาก็ใช่ว่าจะเชื่อใจไปตลอด ขงเบ้งใช้วิธีไหนเพื่อเรียกความเชื่อมั่นในตัวเองต่อเล่าปี่ คนรุ่นหลังควรนำแผนนี้ไปใช้ยังไงดี หาคำตอบได้กับการเล่าสามก๊กอย่างมีอารมณ์ขันเป็นกันเอง โดยอาจารย์ 赵于平 เชิญรับชมได้ ณ บัดนี้ ในตอนที่มีชื่อว่า “ยอดเคล็ดลับเรียกความเชื่อถือ”


       ค.ศ. 223 เล่าปี่นอนซมอยู่บนเตียง หมอบอกว่ามีอาการท้องเสีย ห้วงความคิดในสมองของเล่าปี่ตอนนั้นคือภาพของตัวเองมองลงมาจากยอดเขา เห็นเปลวไฟสูงเสียดฟ้า บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงการฆ่าฟัน ศพคนและม้าเกลื่อนกลาด รถรบเรือรบกองสุมกัน ใครบางคนอาจบอกว่าเป็นศึกผาแดง แต่นั่นเป็นภาพติดตาของเล่าปี่ที่เห็นของพวกนี้มาทั้งชีวิต ครานั้นเขาเพิ่งผ่านพ้นจากเหตุการณ์ ”ยุทธภูมิแห่งอิเหลง” มาไม่นาน เรียกได้ว่าเป็นความสูญเสียครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว ตัวเขาในตอนนี้ก็สูญไม่ต่างจากตอนที่โจโฉพ่ายศึกผาแดงซักเท่าไหร่นัก เขาเกิดความไม่เชื่อมั่นในสิ่งที่เห็น ทำไมกูแพ้หนักขนาดนี้วะ

       ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย เมื่อปีที่แล้วกระทาชายนายเล่าปี่ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ งานแรกที่เขาทำในฐานะฮ่องเต้คือล้างแค้นให้กวนอู ยกพวกไปหวดง่อก๊กแบบยกแก๊งค์ ทว่าการยกพวกไปตีก็ไม่ได้ทำให้จิตใจที่เศร้าโศกดีขึ้นมาแม้แต่น้อย แย่ไปกว่านั้นกลับพ่ายแพ้ซะอีก ดัชนีความสุขในจิตใจเล่าปี่ที่ต่ำอยู่แล้วก็ร่วงระนาวกราวรูด เสียทัพ เสียขุนพล เสียสุขภาพทั้งกายและจิต ได้แต่ม้วนหางกลับไปอยู่ที่เป๊กเต้เสีย พอมาถึงเมืองไม่นานก็ป่วย ท้องเสียเล่นงาน ก็เรียกหมอมาดูอาการให้ หมอบอกว่าแบบนี้ไม่นานก็หาย

       ท่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งรักษากลับยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ถึงขั้นหมดเรี่ยวหมดแรง ลุกไม่ขึ้น เล่าปี่ก็ตระหนักได้ว่าเวลาตัวเองเหลือไม่มากแล้ว ก็ให้ม้าเร็วไปตามตัวขงเบ้งที่เฉิงตู (เชงโต๋) เพื่อเรียกมาฝากฝังครั้งสุดท้าย เรื่องเลาของการฝากฝังครั้งนี้ไม่ว่าบันทึกใดๆต่างก็มีกล่าวถึง ทั้งยังเป็นเรื่องที่ไม่ว่านิยายหรือเรื่องจริงก็ระบุตรงกัน นั่นคือ เล่าปี่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายเกาะกุมมือขงเบ้ง ปากก็กล่าวเสียงแหบๆว่าขงเบ้งเอย ตัวท่านฉลาดกว่าโจผีเป็นสิบเท่า จะต้องนำพาอาณาจักรเราไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้แน่ หากลูกข้ามีปัญญาเฉียบแหลม ท่านก็จงช่วยเขาเป็นฮ่องเต้ให้ได้ แต่หากลูกข้าไร้สามารถ หมดสมรรถภาพ ท่านก็จงตั้งตนเป็นฮ่องเต้แทนเถิด

       คำพูดนี้ทำเอาขงเบ้งหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ อยู่เงียบๆ ขงเบ้งไม่คิดว่าเล่าปี่จะกล่าวฝากฝังครั้งสุดท้ายในลักษณะนี้ ทอดตาดูทั่วประวัติศาสตร์จีน ไม่ว่าจะยุคใด สมัยไหนก็ตาม คนที่กล่าวแบบนี้คาดว่ามีเล่าปี่คนเดียวเท่านั้น ลองนึกถึงเถ้าแก่เจ้าของกิจการที่ใกล้จะตายแหล่มิตายแหล่ เรียกรองผู้จัดการใหญ่มาคุยด้วย บอกว่าถ้าลูกตัวเองมันมีน้ำยาก็ช่วยมันคุมกิจการ ถ้าลูกมันกากเดนโหลยโท่ย กิจการนี้จะเป็นของเจ้า ข้ายกให้เลย มีนายที่ไหนในโลกบ้างสั่งการแบบนี้

เล่าปี่สั่งการกับขงเบ้งก่อนตาย ด้วยวาทกรรมแหวกแนว

       ที่เล่าปี่พูดเช่นนี้คาดการณ์ได้สองอย่าง หนึ่งคือเล่าปี่นั้นจริงใจ ขอเพียงเป็นคนมีฝีมือ ไม่จำเป็นต้องใช้ลูกหลาน แค่เอาก๊กให้รอดยันรุ่งโรจน์เป็นใช้ได้ สองคือเล่าปี่กังวลใจ ขงเบ้งนั่นเป็นรองแค่เขาคนเดียว อำนาจใหญ่คับฟ้า ลูกตัวเองเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด ไม่รู้สี่รู้แปด ยัง noob อยู่มาก จะเอาขงเบ้งลงเหรอ จะคุมได้อยู่มือมั้ย แล้วถ้าคุมไม่ได้จะทำยังไง นี่คือกังวลใจ ขงเบ้งได้ตอบกลับไปว่าข้าได้ทุ่มเทกายใจเต็มที่ จะขอภักดี มิมีเปลี่ยนใจ ตราบชีวิตจะหาไม่

       การพูดของเล่าปี่เป็นแรงกดดันขงเบ้งมหาศาล ขงเบ้งไม่ได้พูดเปล่าๆ แต่พูดไป ร้องไห้ไปด้วย แบบน้ำหูน้ำตา น้ำมูกน้ำลายไหลออกมาหมด ก็มีคนวิเคราะห์การร้องไห้ของขงเบ้งไว้เหมือนกัน ที่ขงเบ้งร้องไห้อาจเป็นเพราะว่าเขาซาบซึ้งใจที่เล่าปี่อุตส่าห์ไว้ใจให้ขึ้นคุมก๊กแทนลูกตัวเอง หรืออาจจะเป็นรู้ว่าเล่าปี่ใกล้ตาย หัวใจสลาย พูดจาเป็นลางเลยเศร้าโศกหนัก แต่เท่าที่กระผมวิเคราะห์ดูแล้วยังมีอีกเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ นั่นคือเจ็บปวดใจ ที่ตนเองทำงานหนัก แสนภักดีแค่ไหน สุดท้ายก็ยังโดนระแวง ถึงพูดอะไรแบบนี้ออกมาเพื่อลองใจกัน จึงร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจออกมา

       ในยามนี้ ขงเบ้งได้แต่อาศัยความรู้ของตัวเองเอาตัวรอด คนเราไม่กลัวจนมุม กลัวแต่เมื่อจนมุมแล้วไม่อาจคิดหาวิธีเอาตัวรอด แม้บางทีคนไม่กลัวการสิ้นวิธีคิดเอาตัวรอด กลัวแต่ว่าถึงเวลาจริงกลับหาคนที่มีวิธีคิดไม่เจอ ร้ายแรงกว่านั้นคือเมื่อเจอคนที่มีความคิดอ่านชี้แจงให้ ทว่าคุณเองกลับไม่เชื่อวิธีเหล่านั้น ขงเบ้งไม่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ เพียงแค่คิดเองแล้วลงมือทำด้วยตัวเองก็พอแล้ว ขงเบ้งคิดออกด้วยการใช้สี่กลยุทธ์ ซึ่งมีผลต่อเขาและคนอื่นอย่างมหาศาล

       ก่อนที่จะพูดถึงสี่กลยุทธ์นั้น ขอกลับมาที่สถานการณ์ปัจจุบันก่อน ไม่ว่าบริษัทใดๆล้วนแต่ไม่กลัวการทำธุรกิจ เพียงเกรงการจัดการคน ไม่กลัวปัญหาในทีมงาน เพียงกลัวสมาชิกในทีมก่อปัญหา ผู้นำหลายคนมักจะกังวลกันว่าจะบริหารคนในมืออย่างไรดี ซึ่งอันที่จริงแล้วการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างทีมงาน จัดการปัญหาที่เกิดจากลูกทีมแต่ละคนเป็นหัวใจหลักในการดำเนินงานเลยทีเดียว แม้มือเท้าจะอ่อนเปลี้ย แต่ถ้าสมองยังดีก็ยังจัดการตัวเองได้ ถ้าสมองเจ๊งเมื่อไหร่ ร่างกายและจิตใจจะแข็งแรงแค่ไหนก็มีปัญหา คนมักกล่าวว่ารถไฟวิ่งได้เพราะหัวรถจักร หากไร้ซึ่งหัวรถ ขบวนนี้ก็ด้อยค่ากว่าวัวควาย

       กลยุทธ์ที่ขงเบ้งใช้จัดการกับปัญหาในทีมงานมีอยู่ไม่กี่ข้อ จะขอแจกแจงดังต่อไปนี้

  • หนึ่ง เสริมพัดโบกในหน้าที่ พาชีวีก้าวสู่แท่น
      ข้อนี้ ขงเบ้งทำได้ดีมาก แต่ก่อนจะถกข้อนี้ เราจะกล่าวถึงชีวิตของเล่าปี่ก่อน คนโบราณมักพูดว่า “ครบรอบปีนักษัตร ชีวิตมักยุ่งยาก” เล่าปี่เกิดปีฉลู ปี คศ. 209 ครบรอบปีฉลูครั้งที่สี่ เพิ่งผ่านพ้นศึกผาแดงไม่กี่ปี รอบปีนี้เกิดอะไรกับเล่าปี่มากมาย เมียกำฮูหยินตาย เหลือไว้แต่ลูกที่อายุเพิ่งจะสามขวบ ยังความเศร้าโศกให้เล่าปี่มาก ครานั้น ลิห้อมขุนนางจากซุนกวนก็เข้ามาหา เล่าปี่ก็คิดว่าสงสัยจะมาทวงคืนเกงจิ๋วให้ง่อก๊กอีกเป็นแน่ แต่ว่าไม่ใช่ ลิห้อมบอกว่าได้ยินว่าเมียเก่าเพิ่งตายมาหมาดๆนี่ ซุนกวนนายเรามีเมียใหม่มาเสนอให้ท่าน รับรองว่ายังสดๆซิงๆ เพิ่งจะวัยรุ่นอยู่

       เล่าปี่ได้ยินเข้า แม้ว่าจะดีใจ แต่ก็ยังเคลือบแคลง บอกว่าข้าอายุจะห้าสิบแล้ว ขนทั่วร่างทั้งส่วนบนส่วนล่างจะขาวหมดแล้ว จะเหมาะหรือ ลิห้อมจึงว่าสาวน้อยนางนี้มีใจรักในผู้กล้า ควรคู่ยิ่งนักกับวีรบุรุษเช่นท่าน อายุเป็นเพียงตัวเลข จะกล่าวเลี่ยงไปไย เล่าปี่จึงว่าขอคิดก่อน จากนั้นจึงวิ่งแจ้น รีบไปปรึกษาขงเบ้ง  ซึ่งก็ได้คำแนะนำว่าพูดคุยกันให้ดีๆ แล้วอีกสองสามวันค่อยไปแต่ง เล่าปี่กลับบอกว่านี่มันต้องเป็นแผนของจิวยี่ชัดๆ จะส่งเนื้อเข้าปากเสือทำไมกัน ขงเบ้งจึงว่าอยากแต่งกับลูกเสือสาวก็ต้องกล้าเข้าถ้ำเสือกันหน่อย เรื่องทางหนีทีไล่เดี๋ยวจัดการให้ ไม่ต้องห่วง เกงจิ๋วจะยังอยู่ดี แถมได้สาวงามมาเลี้ยงไว้เล่นอีกด้วย 

คนคราวพ่อ แต่งกับสาวคราวลูกหลาน เพราะการเมืองหรือจริงใจ?

       เล่าปี่ก็รีบเก็บข้าวของ เตรียมเดินทางเข้าถ้ำเสือ ก่อนไปก็ดันตื่นกลัวขึ้นมาอีก ขงเบ้งจึงให้จูล่งไปด้วย พร้อมแผนสามอย่าง อย่างแรก พอถึงแดนง่อให้ประกาศการมาถึงอย่างยิ่งใหญ่ ให้สื่อมวลชนตีข่าวว่าจะมาแต่งงาน ทำข้าวสารเป็นข้าวสุก เกี่ยวดองกับงอก๊กไท่ เกียวก๊กโล่ เพิ่มอำนาจขึ้นไปอีก สองคือจงหาเวลาอันเหมาะสม ประกาศข้ออ้างในการบุกรุกเกงจิ๋วของโจโฉ เพื่อให้เล่าปี่มีข้อแก้ตัวกลับเกงจิ๋ว สามคือในเวลาที่ถอยกลับเมือง ถ้าไปไม่ได้ด้วยเหตุอันใด ก็ให้น้องสาวซุนออกหน้า แล้วจะกลับได้ปลอดภัย

       กาลเวลาผ่านไป ด้วยแผนต่างๆที่วางไว้ให้ ทำให้เล่าปี่ได้เสือสาวกลับมาเชยชมฟรีๆ ยั่วจิวยี่ให้โกรธแค้นกันเล่นๆ ผลงานคราวนี้ทำให้ขงเบ้งได้รับความเชื่อถือ ปลาบปลื้ม และซาบซึ้ง ขงเบ้งนั้นเป็นคนฉลาด ในทีมงานเขานั้นก็เป็นรองหัวหน้า ยามปกติที่กำหนดกลยุทธ์นั้น คุณยังต้องกังวลใจกับปัญหาชีวิตของหัวหน้าทีม เวลาที่เขาพบเจอความลำบากในชีวิต คุณต้องเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องที่คอยให้คำปรึกษาให้เขาได้ เราทุกคนเปรียบเสมือนอยู่บ้านหลังใหญ่ นายเราก็เหมือนพ่อแม่ ทหารร่วมรบก็เป็นเหมือนน้องพี่ เราทำตามหน้าที่บางครั้งก็ไม่พอหรอก ต้องมีความเป็นห่วงใย ใส่ใจกันบ้าง

       ขงเบ้งมองเห็นว่าการไปแต่งงานกับน้องสาวแซ่ซุนของเล่าปี่มีความเสี่ยง แต่ว่าก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไรมาก เขาไม่ได้ใช้ฐานะกุนซือบอกไปว่าท่านอย่าได้ไปเลย เพียงเพื่อสาวคนเดียว จะเอาชีวิต เอาอนาคตของก๊กไปทิ้งเชียวเหรอ หากเขาพูดอย่างนี้ก็จะกลายเป็นการขัดขวางความเจริญครั้งหนึ่งในชีวิตเล่าปี่ หากครานั้นมีกุนซือสองคน คนหนึ่งทักท้วงว่าอย่าไป อีกคนบอกว่าไปเถอะ เรามีแผนรับมือ คิดว่าเล่าปี่จะฟังใครดีล่ะ ก็ต้องอย่างหลังสิ แถมเชื่อมั่นในแผนนั้นอย่างเต็มใจด้วย ฉะนั้นหากมีใครสักคนข้างกายไม่เชื่อใจคุณ แปลว่าคุณกับเขา/เธอถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดให้กันไม่เพียงพอ ต้องแคร์เหตุการณ์ในชีวิตคนๆนั้นบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ทำตนในหน้าที่ทั้งวัน พูดแต่เรื่องการงานการเรียน หรือเรื่องทั่วไป การช่วยเหลือใครสักคนแก้ปัญหาชีวิตจะทำให้ความเชื่อใจระหว่างเขา/เธอผู้นั้นกับคุณมีให้กันมากขึ้นไปอีก กลยุทธ์นี้ก็คือในเวลางานให้ทำงาน เมื่อเจอปัญหาชีวิตให้ช่วยเหลือกันนั่นเอง

       หลังจากเหตุการณ์เล่าปี่แต่งเมียสาวผ่านไป ไม่นานนักขงเบ้งก็ได้มีโอกาสใช้กลยุทธ์ที่สอง นั่นคือในเวลางานเฉพาะทาง ขงเบ้งไม่เคยเรียกร้องว่าฉันชอบทำอะไร เขาใช้อะไรก็ทำ แผนที่สองก็คือ...

  • สอง ละวางความถนัด ทำสิ่งที่ควรทำ
       บันทึกซานกว๋อจี้เขียนไว้ว่าครั้งนึงเตียวเจียวร่วมปรึกษากับซุนกวน จะเชิญขงเบ้งมาร่วมก๊ก ซุนกวนจึงส่งจดหมายเชิญมา แต่ขงเบ้งก็มิได้ตอบตกลงกลับไปเลย ขงเบ้งว่าแม้ซุนกวนจะเป็นนายที่ดี แต่ดูสภาพอารมณ์และความคิดนิสัยแล้ว เขาทำได้เพียงเคารพนบนอบ แต่ไม่อาจนำเอาสติปัญญาของเราไปใช้ได้เต็มที่ ภาษาโบราณเขียนว่า “แม้คู่ควรแต่ไม่อาจเป็นคู่คิด”

       หากคุณจะใช้ม้าพันลี้สักตัว คุณต้องรู้ว่าม้าดีพันธุ์นี้ต้องการอะไร คนบอกว่าต้องการหญ้าดี แท้จริงแล้วแค่นั้นไม่พอหรอก มันต้องการทุ่งหญ้าที่ดีด้วย คุณเอาแต่เลี้ยงมันด้วยหญ้าหวานชั้นเลิศ ขังในคอกชั้นสูง แต่ไม่เคยให้มันออกวิ่ง  มันก็ไม่พอใจ ขงเบ้งก็เป็นแบบนี้ เอาแต่เลี้ยงดู ไม่ยอมใช้งานให้เต็มที่ เขาถึงไม่ไป อยู่กับเล่าปี่แล้วเขาแน่ใจว่าเขาจะได้ทั้งหญ้าดีและทุ่งกว้างให้ออกวิ่งแน่นอน ความเชื่อใจนี้มีมาตั้งแต่สมัยสามเยือนกระท่อมหญ้าแล้ว

       ถามว่าเล่าปี่ให้พื้นที่ทุ่งหญ้ากับขงเบ้งมั้ย ก็ให้แหละ แต่ให้ไม่หมด ตอนได้ขงเบ้งมาใหม่ๆ  ขงเบ้งออกวิ่งเต็มที่ เผาซินเอี๋ย เผาทุ่งพกบ๋อง จับมือกับซุนกวนและผองเพื่อน ทั้งให้อำนาจจัดการการคลัง การปกครอง เศรษฐกิจ ปกครองเลงเหลง เตียงสา ฮุยเอี๋ยง ขงเบ้งยิ่งใหญ่มาก งานอะไรก็ทำได้หมด แต่มาภายหลังศึกผาแดง ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตขงเบ้ง แม้ขงเบ้งจะได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพทหารหลวง แต่งานหลักกลับเป็นการอยู่เฝ้าบ้าน อีตอนยึดเสฉวน เล่าปี่ก็ใช้บังทอง หวดเจ้ง เหลือขงเบ้งไว้กันบ้าน

       ตอนบุกยึดฮันต๋ง มีบันทึกไว้ว่า “นายออกรบ เบ้งอยู่เฝ้าเมืองหลวง จัดการงานทุกอย่าง” ไอ้งานทุกอย่างนี่รวมมันทุกอย่างตั้งแต่การคลังการปกครองจนการทูต ขงเบ้งจัดการได้ดีเยี่ยม ช่วงหลังๆในชีวิตขงเบ้งในระยะนั้นเอาแต่เฝ้าเมือง กระนั้นเขาก็ได้ละวางตัวตนในรูปแบบกุนซือสมัยถกยุทธการหลงจง หันมาจับงานปกครอง งานทุกอย่างที่ไม่ใช่แนวเสนาธิการที่ปรึกษาทัพควรจะทำเลย เขาทำโดยไม่บ่น ไม่ต่อต้าน ใช้ให้ทำก็ทำ ฉะนั้นจึงขอพูดว่า “ผู้มีความสามารถ ไม่ว่าจะจับงานด้านไหน สภาพของงานนั้นก็จะออกมาดีเสมอ และจะเชื่อฟังคำสั่งอย่างถึงที่สุดมิคัดค้าน”

       สมมุติว่าคุณคือยอดฝีมือพิณอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน เข้าร่วมงานชุมนุมชาวดนตรี จำเป็นมั้ยที่จะต้องขึ้นไปดีดโชว์เพลงยอดนิยมท็อปชาร์ตในตอนนั้น ไม่ต้อง คุณต้องดูวาทยกร แล้วค่อยดูโน้ตเพลง วาทยกรคือผู้นำ โน้ตเพลงก็คือโครงงาน หากคุณไม่ดูอะไรเลย เอาแต่บรรเลงเพลงที่คุณถนัด ยิ่งคุณทำเก่งเท่าไหร่ ยิ่งทำความเสียหายให้แก่วงดนตรีมากเท่านั้น  สมัยนี้บัณฑิตจบใหม่ไฟแรงทำงานที่ตนถนัด ทว่านายกลับไม่พอใจ คนทั่วไปเคลือบแคลงสงสัย เพราะทำโดยไม่ดูประสงค์ของเจ้านาย ไม่ดูโครงสร้างงานนั่นเอง คนเก่งจริงต้องเรียนรู้งานอื่นได้ จับงานอื่นโดยไม่บ่น ขงเบ้งก็เป็นพวกแบบนี้

       แต่ถึงแม้ว่าขงเบ้งจะทำงานแบบ 不挑肥拣瘦 ไม่เลือกมาก ทำงานแนวหลังโดยไม่บ่นว่า ก็ยังไม่ทำให้คนอืนไว้ใจได้เพียงพอ ขงเบ้งต้องการได้รับความสนับสนุน ก็ใช้ออกด้วยแผนที่สาม นั่นคือ....

  • สาม พูดอย่างอ่อนแอ โชว์ความพึ่งพิง
       เราจะเห็นความคิดนี้จากฏีกาออกศึก มีอยู่ท่อนนึงที่เขียนได้กินใจมาก ที่จริงบทความนี้เขียนได้อย่างสูงส่ง หากคุณเอาแต่อ่านเพื่อซาบซึ้ง แปลว่าคุณยังไม่มีวิสัยทัศน์ดีพอ ต้องเอาความสูงส่งด้วย บทนั้นกล่าวไว้ว่า  

       臣本布衣,躬耕南阳,苟全性命于乱世,不求闻达于诸侯。
เดิมกระหม่อมเป็นสามัญชน ทำไร่ไถนาที่หนานหยาง เพียงขอรักษาชีวิตในกลียุค ไม่คิดถามหายศศักดิ์

       先帝不以臣卑鄙,猥自枉屈,三顾臣于草庐之中,谘臣以当世之事,由是感激,遂许先帝以驱驰。
ปฐมกษัตริย์ไม่ถือข้าต้อยต่ำ ลดศักดิ์เสียเกียรติ์ มาเยือนกระหม่อม สามครั้ง ณ กระท่อมหญ้า
ไต่ถามกระหม่อมเรื่องบ้านเมือง เพราะว่าซาบซึ้ง แล้วจึงให้องค์ปฐมกษัตริย์ได้ช่วงใช้ 


(สำนวนของคุณอ๋อง นิธิพันธ์ แฟนพันธุ์แท้ราชวงศ์จีน อ่านตัวเต็มได้ที่ http://ongchina.wordpress.com/2012/03/09/%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%8B%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5/)

       จะเห็นได้ว่าในบทนี้ขงเบ้งพูดได้แบบสุภาพ ลดตนมาก ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดเล่านี้เขาใช้กับทายาทรุ่นหลัง มิใช่นายเก่าที่อาวุโสกว่า ตอนพูดกับนายรุ่นหลานยังขนาดนี้ แล้วตอนอยู่กับนายรุ่นแรกล่ะ จะขนาดไหน ที่ขงเบ้งลดตนต่ำขนาดนี้ เขามีเหตุผลของเขาอยู่ หลักจิตวิทยาพบว่ามนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่อิจฉาคนที่แข็งแก่กว่า พอเจอคนที่อ่อนกว่าจะลดความเกลียดชังและความอิจฉาลงได้บ้าง และนอกจากนี้ คนที่ทำตนอ่อนแอจะดูเหมือนกับว่ามีความไว้ใจได้ ไม่เปลี่ยนแปรง่ายๆ ความอ่อนน้อมจะทำให้คนจดจำและสนับสนุนได้ดีกว่า คุณต้องทำตนอ่อนน้อมอ่อนแอเป็น ถึงจะได้รับความเห็นใจ

       ยกตัวอย่างง่ายๆ มีอาจารย์ท่านหนึ่ง แต่งงานกับหญิงคนหนึ่งได้สามสิบปีแล้ว ความรู้สึกที่มีให้กันยังคงดีอยู่ ลูกหลานไปอยู่ต่างแดนกันหมด ลูกศิษย์วัยรุ่นก็ไปหาอาจารย์ท่าน ถามว่าทำยังไงถึงรักกันได้ยืนยาวขนาดนี้น่ะ อาจารย์บอกว่าไม่มีอะไรมาก คือฉันเนี่ยเลือกกิน ถ้าไม่ได้กินข้าวที่เมียทำ มันไม่อร่อย กินไม่ลงว่ะ ยอมอดตายดีกว่า ข้างฝ่ายเมียอาจารย์ก็ว่าฉันมีเป็นโรคประสาทอ่อนๆ กลางคืนจะนอนไม่หลับ ถ้าไม่มีตาแก่นี่มานอนข้างกาย พอนอนแล้วก็ชอบหายใจเป็นจังหวะโหล พอหายใจถึงโหลที่สามเมื่อไหร่นั่นแหละฉันถึงจะนอนได้ อาจารย์เสริมว่าเราสองผ่านชีวิตกันมาแบบนี้แหละ แล้วก็หัวเราะให้กัน

       ทว่าความจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น ครั้งหนึ่งอาจารย์ต้องไปงานสัมมนาวิชาการ เพื่อนอาจารย์ด้วยกันเห็นอาจารย์คนนี้ตักได้ตักเอา กินไม่มียั้ง จากนั้นก็มีคนโทรไปคุยกับหลาน ถามว่าป้าตอนนี้เป็นไงมั่ง หลานตอบว่าป้าพอหัวถึงหมอนก็หลับเลย ดูสิว่าต่างคนพอแยกกันแล้วก็อยู่เป็นสุข ปัญหามันอยู่ที่ว่าทั้งคู่บอกว่าแยกจากกันไม่ได้ แถมยังบอกถึงเหตุผลที่จำเป็นในการอยู่ด้วยกันอีกตะหาก ที่น่านับถือก็คือเวลาที่แต่ละคนพูดเหตุผลของตนเองออกไป มักจะนึกเสมอว่าเหตุผลของตัวเองน่ะสร้างมาหลอกๆ แต่ที่อีกฝ่ายพูดมานั้นเป็นจริงแน่ๆ ความรู้สึกนี้แหละที่เสริมแต่งให้กันและกัน นี่ล่ะคือโชว์ความอ่อนด้อย แสดงความพึ่งพา เพื่อได้ใจและความสนับสนุนซึ่งกันของอีกฝ่าย จึงขอกล่าวว่า ความรู้สึกนึกคิดคือการเรียนรู้ที่จะแสดงความอ่อนด้อย มิใช่แสดงความเข้มแข็ง หากบอกว่าสามารถตีจากกันได้ ก็จะเป็นความเย็นชา ไร้ความรู้สึก แต่หากพูดว่ามิอาจแยกจากเธอได้ ความรู้สึกที่ทีจะดีต่อกันมากขึ้น

       คุณต้องทำแบบนี้แหละเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ ขงเบ้งอุตส่าห์เขียนอย่างถ่อมตนในฎีกาออกศึกก็ด้วยเหตุเดียวกัน คนจีนมักคุยกันว่าทำไมหญิงกร้าวมักไร้คู่ เพราะไอ้ความกร้าวนี่แหละ ถือตนว่าดีกว่า แกร่งกว่าตลอด ภาษาจีนมีคำว่า 怜爱 (เอ็นดู) คือ 怜 (เห็นใจ) ก่อน จึงค่อย 爱 (รัก) อยากให้ใครรัก ใครสนับสนุน ไม่ว่าพ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตร คนรัก หรือเจ้านาย ก็ต้องอ่อนน้อม แสดงความอ่อนแอให้เป็น คนที่แกร่งเป็น คือมีพละกำลัง แต่คนที่อ่อนเป็น คือผู้มีปัญญา

       หลังจากที่ได้การยอมรับสนับสนุนแล้ว นายก๊กและขุนนางต่างๆบอกว่าท่านเก่งมาก เราเปิดโอกาสให้ท่านเดินหน้าเต็มตัวเลย ขงเบ้งใช้ออกด้วยแผนที่สี่ นั่นคือ...

  • สี่ สงบมั่นคง ออกตัวไม่รีบร้อน
       จุดนี้ดูจากปัญหาที่เล่าปี่เจอมา คือตอนที่เล่าปี่ยกพวกตีง่อในศึกอิเหลง แล้วแพ้กลับมาขนาดหนัก พอข่าวมาถึงเมืองหลวง ขงเบ้งได้แต่บ่นว่าถ้าหวดเจ้งยังอยู่คงไม่ปล่อยให้เล่าปี่ไปรบ หรือถ้ารบก็ไม่เสียหายหนักขนาดนี้ คำพูดนี้ทำให้เกิดข้อครหามากมาย มีคนบ่นว่าก็แกยังอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่คัดค้านไปล่ะ ทำไมไม่ช่วยเขาวางแผนรบ ปัญหาข้อนี้ลึกซึ้งมาก ในที่นี้เราจะไม่ใช้เหตุผลตามหลักประวัติศาสตร์ที่คนวิเคราะห์ไว้เยอะแล้ว แต่เราจะใช้หลักจิตวิทยาและการบริหารจัดการมาวิเคราะห์ดูแทน

       ก่อนอื่นเรามาดูแรงจูงใจในการทำสงครามของเล่าปี่ มีคนบอกใครๆก็รู้ ก็แก้แค้นให้กวนอูไง หนังสือบอกไว้นี่ บทแรกไง ที่สามคนสาบานกันว่าจะขอตายวันเดือนปีเดียวกัน แล้วน้องรองกวนอูโดนพวกง่อก๊กฆ่า เราก็ต้องยกพวกไปยำมันสิ เหตุผลนี้เหมาะมั้ย ก็เหมาะอยู่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะนี่แค่อ้างอิงตามตรรกะของนิยาย ในบันทึกซานกว๋อจี้ไม่เคยกล่าวถึงเลย ทั้งเล่าปี่ต้องรอสามปีถึงจะไปแก้แค้น ทำไมไม่รีบไปแก้แค้นแต่เนิ่นๆ มีคนบอกว่า อ้าว ก็ต้องรวบรวมพล ระดมเงินทุนไง อ่ะ ข้อนี้ก็เป็นไปได้อยู่

บันทึกประวัติศาสตร์ไม่มีเขียนเรื่องสาบานอะไรเลย มีแต่บันทึกเรื่องนอนเตียงเดียวกัน

       ทีนี้มามองในมุมมองอื่นบ้าง ตอนที่เล่าปี่ออกรบในศึกอิเหลงนั้นเป็นปีที่สองที่เขาตั้งตนเป็นฮ่องเต้ ต้องการแสดงบุญญาธิการ ประกาศศักดาให้โลกรู้ อยากขยายดินแดน แต่ถ้าไปตีวุยก๊กก็เหมือนเอาไข่ไปกระแทกหิน จะจุกเอาเปล่าๆ มีแต่ง่อก๊กนี่แลที่พอฟัดพอเหวี่ยง เล่าปี่ออกรบรอบนี้มีทั้งเหตุผลทางใจ และทางการเมือง สถานการณ์ในตอนนั้นวุยก๊กยิ่งใหญ่ที่สุด รองลงมาคือง่อ จ๊กก๊กรั้งท้าย แล้วการที่ก๊กอันดับสามฟาดปากก๊กอันดับสอง อันดับหนึ่งมีแต่จะดีใจ รอให้ฝ่ายไหนตายก่อน เราค่อยกระทืบซ้ำ หรือไม่ก็อาจจะสนับสนุนจ๊กก๊กช่วยตีง่อ พอเผลอๆก็เก็บมันทั้งคู่ในคราวเดียว

       เหตุผลเหล่านี้ขงเบ้งล้วนมองออก แถมมองออกมานานแล้ว ดูได้จากตอนถกยุทธการหลงจง ขงเบ้งกำหนดไว้ว่าให้ร่วมมือกับซุนกวน ล่าล้างโจโฉ ทว่าตอนเล่าปี่ฮึดฮัดจะไปรบกับง่อก๊ก ขงเบ้งไม่ได้ออกปากคัดค้านเลยสักแอะ คนแรกๆที่คัดค้านการก่อสงครามคราวนี้คือจูล่ง ตามมาด้วยมวลชนชั้นขุนนาง ก็คนคัดค้านเยอะซะขนาดนี้ ทำไมขงเบ้งไม่เข้าร่วมด้วยล่ะ คัดค้านไปเลย หากเล่าปี่ไม่ฟัง ก็รวมตัวกับขุนนาง ให้ขงเบ้งเป็นแกนนำ หากเล่าปี่ยังไม่ฟังอีก ขงเบ้งจะอารยะขัดขืน ไม่ทำตามหน้าที่ ไม่วางแผน ไม่ส่งเสบียง ดูซิว่าจะไปรบยังไง

       หากขงเบ้งทำตามนี้ นับว่าอันตรายมาก หากเขารวมพลังมวลชน คัดค้านเล่าปี่ที่ทีตำแหน่งฮ่องเต้ในครานั้น ข้อหาเบาหน่อยคือก่อม็อบประท้วง หนักเข้าก็คือก่อกบฏ กระทำการปฏิวัติ ของพวกนี้ขงเบ้งทำได้แค่คิด ไม่อาจยอมรับได้ เล่าปี่ที่อยากทำสงครามจนคลั่ง รีบร้อนแต่จะออกรบจนลืมหลักเหตุและผล ขงเบ้งทำได้แต่ปล่อยวางกับความคิดเห็น ปล่อยให้เล่าปี่ลงมือไปก่อน จึงรั้งอยู่แนวหลัง รอคำสั่ง ไม่ออกไปรบในแนวหน้าด้วย พอเล่าปี่พ่าย หนีตายไปเมืองเป๊กเต้เสีย ก็ได้ส่งคนไปตามตัวขงเบ้งที่เมืองหลวง ขงเบ้งในตอนนั้นคิดว่าถ้าเล่าปี่ไม่ตาม ก็จะไม่ไป แต่ถ้ามาตามก็จะรีบไป พอมาถึง เล่าปี่ก็ฝากฝังให้ขงเบ้งจัดการเรื่องราวต่างๆ

       ก่อนหน้านี้เราพูดกันว่าหลังจากศึกผาแดง เล่าปี่ก็ไม่ได้ใช้ขงเบ้งในฐานะกุนซือ ทำงานใหญ่อีกเลย แต่ครั้นพอใกล้จะตาย กลับมอบหมายหน้าที่ใหญ่ๆทั้งหมดให้ขงเบ้งทำ เล่าปี่ทำแบบนี้ คาดเดาได้สองอย่าง หนึ่งคือเล่าปี่ซาบซึ้งในหลักการทำงานของขงเบ้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สมัยนั้นหากผู้นำใช้กุนซือทำงาน หากไม่ทำ เขาก็ไม่เห็นดีเห็นงาม ถ้าทำไม่ดีก็โกรธ โมโห แต่ถ้าทำดีเลิศก็พาลให้ไม่ไว้วางใจอีก เล่าปี่ยอมรับและไว้วางใจแล้ว จึงฝากฝังให้ขงเบ้งสานต่อ อีกเหตุผลหนึ่งที่เล่าปี่ฝากฝังขงเบ้งคือเขาคิดว่ายุทธศาสตร์หลงจงที่เคยวางแผนไว้นั้นถูกต้องแล้ว เขาเพิ่งจะยอมรับอย่างเต็มตัว ตัวองทำผิดหลักการนี้ไปหน่อย อยากให้ขงเบ้งซ่อมแซม สานต่อแผนนี้ให้สำเร็จ

       ขงเบ้งในเวลานี้เขาได้รับมอบอำนาจเต็มตัว มีโอกาสได้จับงานการทหารและการเมืองการปกครองอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในชีวิต นับตั้งแต่ขงเบ้งลงจากเขามา นี่จะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะเป็นตัวแสดงเด่นในเวทีของจ๊กก๊ก ทว่าฉากของเวทีนี้ก็ไม่ได้สวยหรู อันตรายรอบด้าน ลึกลับซับซ้อน แล้วขงเบ้งจะใช้วิธีใดเผชิญหน้า เขาจะเจอความลำบากแบบไหนบ้าง กลยุทธ์ใดที่เขาจะนำพาก๊กให้รอดจากอันตราย นำพาก๊กไปสู่รูปแบบใหม่ได้ เชิญติดตามต่อตอนหน้าครับ