วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

รู้อย่างขงเบ้ง (3) : ใช้คนเก่งนิสัยแย่ให้ได้เรื่อง

  Note : นี่คือที่อยู่ใหม่ของผมครับ เนื่องจากบล็อกเดิมเริ่มมีปัญหาหลายอย่าง ทั้งพวกสแปมหลายหลาก ปัญหาในการพิมพ์และการแสดงผล (ผมก็อปจากเวิร์ดมาลง กลับกลายเป็นว่าแสดงผลเพี้ยนน่าดู ต้องมาแก้ใหม่อีก) ที่แย่ที่สุดก็คือมีผู้อ่านบางคนส่งเมลล์มาหาผม เขาบอกว่าอยากอ่าน แต่คลิกไปทีไรก็เจอแต่ 502 Bad gateway เลยพาลเลิกเข้าเสียดื้อๆ ไหนจะตอนกดเผยแพร่แล้วดัน error ต้องทำใหม่ทั้งดุ้น ปัญหาพวกนี้แหละครับที่ทำให้ผมตัดสินใจย้ายที่ลงบทความซะใหม่ เพื่อประโยชน์ของผู้อ่านทุกท่าน
       ตั้งแต่นี้ต่อไป บทความแปลใหม่ๆจะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วนะครับ จะไม่ไปลงที่เดิมแล้ว (รอดูท่าทีของบล็อกในยุคทีมงานใหม่ก่อน) ปล. ทุกท่านที่อ่านแล้วชอบบทความผม ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยการกดคลิกโฆษณาให้หน่อยครับ คนละครั้งก็ยังดี จักขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
       เข้าเรื่องซะทีครับ
      
       ผู้มีความสามารถส่วนมากมักจะมีอารมณ์และนิสัยที่แปลกประหลาด ในสังคมการทำงาน คนหลายคนมักจะประสบกับความประหลาดของคนแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะเจ้านายจำเป็นต้องใช้เขาแล้ว คาดว่าคนหลายคนคงจะไม่อาจทนรับสิ่งประหลาดเหล่านี้ได้ หากคุณเป็นคนเก่งคนหนึ่งที่ 恃才傲物มั่นใจในตนเองมาก จนมองผู้อื่นว่าด้อยกว่า คุณอาจประสบปัญหาในการหางานและทำงานได้ แล้วจะให้คนเหล่านี้หางานยังไงดี ในมุมมองของผู้นำ สมควรจะใช้คนแบบนี้ยังไงดี ขงเบ้งในสมัยสามก๊กก็เคยประสบปัญหาแบบเดียวกัน แล้วเขาก็คิดวิธีแก้ปัญหาออกมาได้ รับฟังเรื่องเหล่านี้ ผ่านปากของอาจารย์ 赵于平 กับ 麻辣说三国 ในหัวข้อ “วิถีแห่งการใช้คน”


       ปี ค.ศ. 210 ช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือก็คือยุคฮั่นตะวันออก ปีเจี้ยนอันที่ 15 เมืองลอยเอี๋ยงในเขตเกงจิ๋ว มีขุนพลผู้หนึ่งนามเตียวหุย เขากำลัง 大发雷霆โกรธเกรี้ยวเป็น อย่างมาก ต้นเหตุมาจากชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา ชายผู้ที่เสื้อผ้ามอมแมม สวมหมวกไม่เรียบร้อย ผ้าคาดเอวหลวมลุ่ย เขามีคิ้วดก จมูกโด่ง ตาเล็ก มีกลิ่นเหล้าฟุ้ง ยืนอย่างโงนเงนไปมา เขาเห็นสภาพโกรธของเตียวหุยก็ไม่กลัว กลับหัวเราะเสียด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้เตียวหุยโกรธเป็นทวีคูณ

       แล้วคนผู้นี้เป็นใครกันหนอ ใครบางคนอาจเดาถูกแล้ว เขาคือหนึ่งในยอดนักปราชญ์แห่งยุค ผู้มีฉายาว่าหงส์ดรุณนามว่าบังทอง บังซื่อหยวน ในตอนนั้นบังทองเป็นเจ้าเมืองลอยเอี๋ยง ช่วงหลังศึกผาแดงไปแล้ว เล่าปี่ก็ได้ขยายฐานตนเองไปทางใต้ ผ่านเมืองเตียงสา ฮุยเอี๋ยง เลงเหลง สามมณฑล ลอยเอี๋ยงเป็นเมืองในเขตเลงเหลง ก็ถือเป็นเขตของเล่าปี่ด้วย เล่าปี่ ตั้งให้เตียวหุยเป็นผู้ตรวจการ คอยไปตามดูความเรียบร้อยและการทำงานของเมืองต่างๆ โดยปกติแล้วเมื่อใครสักคนมาตรวจงานเรา เราก็ต้องขยัน ขวนขวายให้เขาเห็น จัดงานต้อนรับเขาอย่างดีถึงจะถูก แต่ยามเมื่อเตียวหุยมาตรวจเยี่ยมเมืองลอยเอี๋ยง บังทองไม่ได้ทำอะไรเทือกนี้เลย เขายังคงขี้เกียจ อู้งานให้เตียวหุยเห็น เตียวหุยก็โกรธเป็นธรรมดา

หน้าตาของบังทอง ประมาณนี้แหละ

       หนึ่งในสาเหตุที่มีคนวิเคราะห์กันว่าทำไมบังทองถึงทำแบบนั้นก็คือว่า เขารู้สึกว่าเขาได้งานผิดตำแหน่ง ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ยามที่บังทองมาเข้าด้วยเล่าปี่ เขานึกว่าจะได้ทำงานแบบเดียวกับขงเบ้ง แต่เล่าปี่กลับมองข้ามความสามารของเขาไป ถึงได้ให้ไปทำงานในเขตบ้านนอก เขาเห็นว่าขนาดโจโฉให้ความเคารพเขา เขายังไม่อยากจะทำงานให้ นี่อุตส่าห์มาทำงานให้เพราะถูกใจกัน ทำไมถึงให้ตำแหน่งแบบนี้กับเขา เขาจึงทำตัวให้เมาไว้ เพื่อตรวจสอบเล่าปี่ และเตียวหุย

       เล่าปี่ไม่ถูกตาถูกใจกับบังทองเอาซะเลย บังทองมีสองอย่างที่น่าเกลียด คือหน้าตาและอารมณ์นิสัย อันหน้าตาและอารมณ์เหล่านี้ถือเป็นชีวิตของเราเลย แต่ละคนจะพบเรื่องอะไรในชีวิตก็ด้วยสองอย่างนี้แหละเป็นตัวกำหนด นิสัยของบังทองก็คือทะนงตน ไม่เห็นคนอื่นในสายตา ชอบพูดสิ่งที่ฟังยาก บังทองได้ไปพบผู้นำมาแล้วทั้งสามก๊ก โจโฉ เล่าปี่ และซุนกวน สามคนนี้แม้จะนิสัยและความคิดไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเห็นบังทองแล้ว สิ่งที่เขาสามคนคิดเหมือนกันคือดูถูกบังทอง พอเห็นหน้าตาที่อัปลักษณ์แล้วก็รับไม่ค่อยได้ คาดว่าผู้นำเหล่านี้เห็นหน้าเพียงครั้งเดียวก็คงไม่ลืมไปตลอดชีวิต เหมือนเนื้อเพลงจีบสาวสวยหลายๆเพลง
       แย่ไปกว่านั้นก็คืออุปนิสัยและอารมณ์ของบังทองเป็นสิ่งที่คนรับไม่ได้ นิสัยของขงเบ้งเราได้พูดกันไปแล้ว นั่นก็คือรูปลักษณ์ให้สูงส่ง แต่นิสัยถ่อมตน บังทองทำตรงข้ามมันทุกอย่าง อะไรก็ช่างขอให้ดูถ่อย ไม่คอขาดบาดตายก็จะไม่ไปพบคน พอพบแล้วก็ทำหาเรื่อง พูดจาไม่รู้เรื่อง เขาเป็นคนประเภทที่ว่าฉลาด แต่ไม่อยากเอาใจคน ไม่มีสกิลในการพูดคุย ซึ่งในสมัยนี้คนอย่างบังทองอดงานแน่ๆ หลัก จิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่าคนเราเจอกัน สามนาทีแรกอยู่ที่การจดจำหน้า ถ้าคุณทำให้คนอื่นประทับใจได้ ความสัมพันธ์ของคุณจะยืนยาวไปสามปี ไม่ว่าใครก็อยากให้คนประทับใจทั้งนั้น แม้คุณจะหน้าตาไม่ดี แต่นิสัยดีนี่ยังพอทำเนา แต่ถ้าคุณนิสัยห่วยพอๆกับใบหน้า นี่เป็นปัญหาของคุณเองแล้ว ใครก็แก้ไม่ได้ เล่าปี่เจอบังทองแล้วก็ไม่ประทับใจอะไรซักอย่าง จึงไม่ใช้บังทองทำงานใหญ่ใดๆ

       ขงเบ้งได้กำหนดหลักกลยุทธ์ใหญ่ๆในการใช้งานคนแบบบังทองไว้หลายข้อ ข้อแรกก็คือ 放水养鱼 ปล่อยน้ำเลี้ยงปลา เล่าปี่ให้งานตำแหน่งเล็กๆกับบังทองทำ เพราะไม่เห็นความสำคัญ โลซกแห่งเจียงตง ได้เขียนจดหมายแนะนำตัวให้บังทอง ใจความว่าคนอย่างบังทองทำงานใหญ่ได้แน่ ความสามารถของเขาดีกว่าที่ใครหลายคนเห็น ขอท่านอย่าได้ให้งานเล็กๆแก่เขา นี่แปลว่าโลซกมองเห็นความเก่งกาจในตัวบังทอง แต่ว่าไอ้ตอนที่บังทองไปหาเล่าปี่ เขาไม่ได้เอาจดหมายแนะนำตัวให้เล่าปี่ดูเลย บังทองไม่ลดตัว ไม่แสดงฝีมือ ไม่เอาจดหมายแนะนำให้ดู ยังคงทำตัวซกมก หยิ่งผยองอยู่ ถ้าเล่าปี่ไม่รับเข้าทำงาน เขาเห็นว่าเป็นความเสียหายของเล่าปี่ ไม่ใช่ตัวเขาเอง คนสมัยนี้ทำแบบนี้ไม่ได้แน่ แม้จะมีคนดังมาแบ็คอัพให้ก็ตามที

       ยามเมื่อเล่าปี่เห็นจดหมายแนะนำตัวนั่นแหละ มุมมองถึงได้เปลี่ยนไปบ้าง ภายหลังจากเล่าปี่ได้พบกับขงเบ้ง ก็ถูกถามว่า “ได้ยินว่าท่านนายพลบังมาเข้าร่วมกับเรา ตอนนี้เขาเป็นไงบ้าง” เล่าปี่ได้ฟังก็มึนสิ นายพลที่ไหนกัน ไอ้ขี้เมาหยำเปซกมกจองหองเนี่ยนะ ขงเบ้งราบเรื่องจึงแจกแจงคุณสมบัติให้ฟัง พร้อมๆกับการที่ขงเบ้งไม่รู้มาก่อนว่าความหยิ่งในตัวบังทองเองจะสูงมากมาย ปานนี้ เขาแจกแจงว่าคนแบบบังทองเป็นคนประเภท “เก่งงานใหญ่ กากงานเล็ก” ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของความสามารถแบบคนจีนโบราณ

       พอพูดถึงตรงนี้แล้ว อยากจะแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับสำนวนจีนสุดคลาสสิคอันหนึ่ง มันก็คือ 不扫一屋何以扫天下 กวาดบ้านกวาดช่องไม่ได้ ริจะไปกวาดล้างแผ่นดิน ที่มาของสำนวนนี้มาจากบันทึกพงศวดารฮั่นยุคหลัง บอกว่าในสมัยฮั่นตะวันออก มีเยาวชนชายนายหนึ่งนามว่าเฉินฝาน สติปัญญาของเขาดีเยี่ยมพอๆกับปาก วันหนึ่งพ่อของเพื่อนเขามาเยี่ยมชมบ้าน ก็ไปเจอห้องที่นายเฉินอยู่นั้นรกๆทกๆ ขยะกองเต็มหมด ก็เข้าไปบอกว่าดูแลสภาพห้องตัวเองหน่อย จะได้ดูดีมีสง่า เฉินฝานบอกปัดว่าลูกผู้ชายตัวจริงไม่สนเรื่องหยุมหยิม คิดการใหญ่ไยต้องสนเรื่องพวกนี้ ข้ากำลังวางแผนกวาดล้างแผ่นดินอยู่ กะอีแค่ห้องๆเดียวเนี่ยเก็บกวาดเมื่อไรก็ได้ เพื่อนพ่อก็ฉุนหนัก สวนกลับไปว่าแค่ห้องยังเก็บกวาดไม่ได้ ยังจะมีหน้าไปกวาดล้างแผ่นดินอีก เรื่องจบลงแค่นี้

ภาพประกอบสำนวน ไม่ทราบว่าฝีมือใคร มีก็อปอยู่ทัวเลย

      ทว่าคนแบบเฉินฝานนั้นมีอยู่จริงๆในโลกใบนี้ ปัญหานี้มีคนถกเถียงกันมานานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการกวาดห้องเป็นกับการ ทำการใหญ่ จนถึงสมัยนี้เราจึงมีข้อสรุป แบ่งความสามารถได้เป็นสามประเภทใหญ่ๆ นั่นคือ

  • หนึ่ง กวาดบ้านเก่ง กลาดล้างแผ่นดินก็เก่ง
      คนแบบนี้เรียกว่าเก่งรอบด้าน  ยกตัวอย่างเช่นขงเบ้ง งานหลวงงานราษฎร์ทำได้หมด เก่งทั้งงานใหญ่งานเล็ก

  • สอง กวาดล้างแผ่นดินได้ แต่กวาดบ้านไม่เป็น
      เรียกได้ว่าเก่งเฉพาะด้าน คุณให้เขาทำงานที่ถนัด เขาจะทำได้ยอดเยี่ยม แต่ถ้าให้จับงานบางงานที่แม้แต่คนธรรมดายังทำได้ เขากลับไม่เอาถ่าน คนแบบนี้สร้างความข้องใจให้กับหลายๆคน ถ้าผู้นำได้คนแบบนี้มา ก็ต้องจัดการบริการให้ดี ใช้เขาให้ถูกงาน

       สองประเภทนี้ คนอย่างแรกใช้ง่าย คนอย่างหลังใช้ยาก เมื่อเราได้คนแบบแรกไว้ในมือ เราต้องมีความเชื่อมั่นให้เขา มอบหมายตำแหน่งที่เราไว้ใจให้ ขณะที่ได้คนแบบที่สองมา เราต้องใช้งานตามความถนัน บริหารจัดการตามสภาพงาน นอกจากนี้ยังมีคนอีกประเภทหนึ่ง นั่นก็คือ

  • สาม กวาดบ้านเป็น แต่ไม่อาจกวาดล้างแผ่นดิน
       คนแบบนี้คือคนธรรมดา ทำงานเล็กๆล่ะเก่งนัก แต่เมื่อคุณเห็นว่างานเล็กๆเก่ง เลยให้เขาทำงานใหญ่ ยังไม่ทันได้ลงมือ ปัญหาใหญ่จะเกิดขึ้นซะก่อน คนแบบนี้อย่างดีก็เป็นได้แค่พนักงานตัวอย่าง หรือลูกจ้างระดับสูง ถ้าอยากให้เขาเป็นผู้นำ คงนำคนได้ไม่กี่คน

       คนสามระดับนี้เราต้องจัดการกับเขาด้วยวิธีต่างกัน คนเก่งทุกอย่างมักเหนื่อยตาย เพราะเอาแต่ยัดงานให้เขา คนเก่งเฉพาะด้านอาจตายอย่างไม่เป็นธรรม เพราะใช้เขาไปทำงานผิดประเภท คนเก่งเรื่องเล็กมักตายเพราะลนลาน คุณเอาเขาไปทำงานใหญ่ เอาแต่จี้ว่าทำให้ได้ ทำให้ได้ เขาจะลนลานจนงานพัง ผู้นำที่ดีต้องมองให้ออกว่าเขาเป็นคนระดับไหน และใช้งานตามความเหมาะสม ถ้าไม่แน่ใจ ลองหาวิธีตรวจสอบเขาดู

       ขงเบ้งที่รู้ปัญหาก็ลองเรียกบังทองเข้ามาคุยกับเล่าปี่ เล่าปี่ถึงได้ตะลึงกับสติปัญญาของบังทอง เฮ้ย ไอ้หมอนี่มันเพชรในโคลนตมนี่หว่า ก็แต่งตั้งให้เขาเป็นกุนซืออีกคน บังทองเป็นคนประเภทที่สอง กวาดล้างแผ่นดินได้ กวาดห้องไม่เป็น ยิ่งไม่ชอบการกวาดห้องด้วย คนอย่างบังทองต้องใช้กลยุทธ์ไขน้ำเข้าเลี้ยงปลา ปลาเล็กให้อยู่แหล่งน้ำน้อย ปลาใหญ่ให้อยู่บ่อใหญ่ คนเก่งแต่ละคนให้มุ่งมั่นในงานทีละอย่าง หากใครซักคนจะทำงานใหญ่ จำเป็นต้องมีใจที่ตั้งมั่นและความกล้าในการทำงาน เล่าปี่ในตอนนี้ทำให้บังทองมีใจทำงานใหญ่ให้เขาแล้ว

       งานแรกที่เขาเสนอเล่าปี่ก็คือยึดเสฉวน ขงเบ้งก็เลือกที่จะอยู่เฝ้าเมือง ไม่ไปช่วยบังทองรบเอาเสฉวน ขงเบ้งมีแผนการอะไรบางอย่าง เป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า 分槽喂马 แบ่งรางเลี้ยงม้า จะยกตัวอย่างให้ฟังสั้นๆ สมมุติว่าในฟาร์มมีตาแก่คนหนึ่ง แกเลี้ยงม้าไว้สองตัว เลี้ยงได้ไม่นานก็พบปัญหา ม้าไม่กินข้าวกินน้ำ มีรอยบาดแผล ผอมลง ตาแก่ก็วิ่งโร่ไปถามผู้เชี่ยวชาญ เมื่อผู้เชี่ยวชาญมาถึงก็เจอปัญหาเลย จึงบอกว่าม้าที่เลี้ยงเนี่ยเป็นม้าพันลี้ เป็นม้าที่มีความหยิ่งผยอง มีฝีเท้าดี ปัญหาอยู่ที่รางเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำ คุณให้มันสองตัวกินรางเดียวกันมันก็จะแย่งกันกิน กัดกันเอง ดีดกันเอง เพื่อเก็บไว้กินคนเดียว ถ้าแบ่งรางหญ้ารางน้ำเป็นสองอันให้มันกิน ปัญหานี้ก็จะไม่เกิด

       ม้าสองตัวแทนปราชญ์สองคน ถ้าให้ทำเรื่องเดียวกันจะตีกันเอง เนื่องจากคนจะแย่งกันทำเพราะใช้กลยุทธ์เดียวกัน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าให้คนที่เก่งพอๆกันมาทำเรื่องเดียวกัน จะแย่งกันมากกว่าช่วยกัน ต่อให้ไม่แย่งกันเอง ทีมงานในปกครองก็จะแย่งกันทำ หรืออย่างน้อยๆที่สุดเนี่ยก็ภรรยาของปราชญ์สองคนนี่แหละมาทุ่มเถียงทะเลาะ กันเอง

       กลับมาที่เรื่องเล่า ตาแก่แก้ปัญหาได้ไม่นานก็ขายม้าออกไป ซื้อหมูมาเลี้ยงแทนเพราะเลี้ยงง่ายกว่ากันเยอะเลย เวลาเลี้ยงก็เอาคอกม้าเดิมนั่นแหละทำเล้าหมู ทว่าเลี้ยงได้ไม่นานก็เกิดปัญหา หมูกินน้อย ตาแก่ก็ไปถามผู้เชี่ยวชาญเรื่องหมู ผู้เชี่ยวชาญมาเจอก็ว่าหมูน่ะจะกั้นคอกให้มันไม่ได้ ต้องให้มันมาอยู่รวมกัน เคยได้ยินมั้ยว่าหนึ่งตัวกินหงอยเหงา สองตัวแข่งกันกิน สามตัวช่วยกันกิน มีเป็นฝูงก็กินอย่างครึกครื้น ต้องหาคู่แข่งให้มัน มันถึงจะพัฒนาการกินของตัวเอง ตาแก่ก็ทำตามที่เขาว่า พอขายหมูไปตาแก่ก็มึนสิ เลี้ยงม้าให้แยกคอก เลี้ยงหมูให้รวมคอก แกก็เลยเอาเงินที่ขายได้มาตั้งสมาคมหมูม้า มีเรื่องเสวนาเกี่ยวกับการเลี้ยงหมูกับม้าก็มาคุยกันได้ ณ ที่นี้

       ผู้เชี่ยวชาญก็เคยถกเถียงกันว่าแล้วจะ ดูยังไงว่างานไหนต้องช่วยกัน งานไหนต้องแยกกันทำ จนได้ข้อสรุปว่าให้ดูเป้าหมาย หากเป้าหมายมีคนทำได้และอยากทำกันเยอะ อันนี้ต้องใช้ยอดฝีมือทำคนเดียวก็พอ ไม่ต้องหาคนช่วย แต่หากเป็นงานที่ใครก็ไม่อยากทำ อันนี้ก็ต้องให้คนหลายคนมาช่วยเหลือกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับไหนก็ตาม ช่วยกันจนคนด้อยฝีมือได้มีความสามารถ ถึงจะเปิดโอกาสให้เขาทำคนเดียวได้

       กลับมาที่สามก๊ก ทำไมขเบ้งไม่ช่วยบังทองยึดเสฉวน เพราะทั้งคู่ล้วนเป็นม้าพันลี้ ฝีมือพอกัน ไปช่วยกันก็มีแต่จะแย่งกันทำ อีกทั้งบังทองยังมีนิสัยไม่เหมือนชาวบ้าน เป็นคนหยิ่ง ไม่ยอมใคร เราไปช่วยเขามีแต่จะลดทอนกำลังรบเสียเปล่าๆ อาจถูกกล่าวหาว่าไปแย่งผลงานเขาด้วย อยู่เฝ้าแนวหลังดูจะมีเสถียรภาพมากกว่า

       คนแบบบังทองไม่ได้มีแค่คนเดียวในก๊กเล่าปี่ อีกคนที่จะพูดถึงต่อไปนี้นั้นความหยิ่งทะนงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย เขาคือเล่าป๋า ที่มาของเขาก็ค่อนข้างเด่น เขาเป็นคนชอบดูถูกผู้อื่น รวมทั้งตัวเล่าปี่เองก็ไม่เว้น แต่ขงเบ้งก็หาวิธีใช้คนประเภทนี้จนได้ ด้วยแผนที่เรียกว่า 筑巢引凤 สร้างรังลวงหงส์ พื้นเพ ของเล่าป๋าเป็นบัณฑิตแห่งเลเหลง ฉลาดตั้งแต่เล็ก เล่าเปียวเคยคิดอยากได้ตัวเล่าเป๋ามาใช้ ก็โดนเล่าป๋าบอกปัด ไม่อยากไปทำงานให้เขา พอตอนหลังโจโฉมายึดเกงจิ๋ว ก่อนศึกผาแดงเล็กน้อย เล่าป๋าก็อยากไปเข้ากับโจโฉ ซึ่งตรงข้ามกับนักปราญ์ส่วนใหญ่ที่อยากไปเข้ากับเล่าปี่ ตัวเล่าปี่เองมีความเกลียดชังเล่าป๋าอยู่ห้าอย่าง

เล่าป๋า จีนกลางเรียกหลิวปา สามก๊กภาคล่าสุดไม่น่าจะมีนะ

       อย่างแรกคือ ทิ้งแซ่เล่าไปเข้าแซ่โจ คนอื่นเขาไปช่วยเล่าปี่หมด แต่เล่าป๋าดูถูกเล่าปี่ว่าแกมันไอ้โจรหูยาน แล้วก็จากไป
       อย่างที่สองคือเขาเป็นตัวแทนกลุ่มโจโฉไปเกลี้ยกล่อมสามเขตแดนแถวบ้านเขา มีเลงเหลง เตียงสา ฮุยเอี๋ยง ให้เข้าร่วมกับโจโฉ ตัดทางหนีของเล่าปี่
       สามคือเมื่อโจโฉพ่ายศึกผาแดง เขายังคงอยู่ที่บ้านเกิด ขงเบ้งเป็นตัวแทนไปเกลี้ยกล่อมเขตแดนต่างๆให้มาเข้าร่วม เขาเขียนจดหมายไปหาเล่าป๋า ใจความว่าเรื่องที่แล้วให้แล้วกันไป เรายังให้โอกาสท่านมาร่วมทำการใหญ่กับเรา กลับโดนเล่าป๋าบอกปัดอย่างไม่ไยดี
       สี่คือตอนที่เล่าปี่กำลังจะไปเสฉวน หลิวปาก็ไปแนะนำเล่าเจี้ยงว่าอย่าเอาเล่าปี่เข้ามา ไม่งั้นก็เหมือน 引狼入室 แกว่งเท้าหาเสี้ยน หาเหาใส่หัว เราจะเดือดร้อนกันหมด เล่าเจี้ยงไม่ฟัง ยังคงจับมือกับเล่าปี่ถล่มเตียวฬ่อ เล่าป๋ายังคงบอกว่าทำแบบนี้เท่ากับ 纵虎归山 ปล่อยเสือเข้าป่าชัดๆ มันจะมาแว้งกัดเราในอนาคต ภายหน้าเราต้องเสียดินแดนกันหมด เล่าปี่ทราบเรื่องเข้าก็โกรธมาก
       เรื่องสุดท้าย เรื่องที่ห้า อันนี้เล่าปี่เกลียดที่สุด คือเมื่อตอนที่เล่าปี่นำทัพใหญ่ล้อมเมืองเชงโต๋ เล่าเจี้ยงในตอนนั้นปลงตกและจะยอมแพ้ แต่เล่าป๋าและคนไม่กี่คนยังยืนยันว่าจะขอสู้จนถึงที่สุด ยอมตายดีกว่ายอมแพ้แก่เล่าปี่

       เมื่อเล่าปี่ได้ตัวเล่าป๋ามาแล้ว เขาพบว่าคนหลายคนในก๊กเกลียดเล่าป๋าพอๆกัน เพื่อช่วยเหลือเล่าป๋าแล้ว เล่าปี่ออกคำสั่งว่าต่อไปนี้ห้ามใครทำร้ายเล่าป๋าอีก ฝ่าฝืนมีโทษ 满门抄斩ประหารทั้งโคตร หลังจากเหตุการณ์นี้แล้วเขาขบคิดไม่เข้าใจ สงสัยว่าทำไมเล่าป๋าเกลียดเขาได้ขนากนี้ เขามีดีเลวตรงไหนกัน

       สิ่งหนึ่งที่เล่าปี่เห็นชัดแจ้งมากก็คือนิสัยของกวนอูและเตียวหุย เขาสองคนนิสัยต่างกันมาก กวน อูนั้นจะดูหมิ่นคนระดับเดียวกันหรือสูงกว่า แต่ลูกน้องเขาจะดูแลอย่างดี ตรงข้ามกับเตียวหุย เขาเข้ากันได้กับคนตำแหน่งเดียวกันหรือเหนือกว่า แต่กับลูกน้องแล้วเขากลับไม่ไยดีเอาเลย เตียวหุยเมื่อได้ยินความสามารถของเล่าป๋าก็มาคารวะ มาคุยด้วยหวังจะเป็นเพื่อน ทว่าเล่าป๋าไม่สนใจ ไม่คุยตอบเลย เตียวหุยเทียวตามอยู่ครึ่งวัน จนเกิดอารมณ์โมโห แล้วเดินจากไป เรื่องนี้เมื่อถึงหูขงเบ้ง เขาก็เข้าไปเจรจากับเล่าป๋า กล่าวว่าตอนนี้เรามาอยู่กลุ่มเดียวกันแล้ว ต้องสามัคคีกันสิ เตียวหุยเขาก็ยอดนายพลคนหนึ่ง เป็นชายชาติทหารเหมือนกัน เป็นเพื่อนกันไว้ไม่เสียหลาย เย็นชาใยกัน เล่าป๋าบอกว่าคนจริงจะทำการใหญ่ สยบใต้หล้า ต้องไม่ใช่นายทหารชั้นขี้แกลบ ไร้การศึกษาแบบนี้

       ความคิดของเล่าป๋า เป็นค่านิยมที่มีมาตั้งแต่สมัยต้นราชวงศ์ฮั่น คือจะมี คนอยู่สองประเภทที่นักปราชญ์เขาดูถูกกัน หนึ่งคือชาติกำเนิดต่ำต้อย หรือไม่รู้หัวนอนปลายเท้า สองคือคนไม่มีการศึกษา หรือประวัติการศึกษาไม่แน่ชัด เล่าป๋าไม่อยากคบเตียวหุยก็ด้วยเหตุผลสองข้อนี้เอง รวมไปถึงเล่าปี่ เขาก็ไม่ชอบขี้หน้าด้วยเหตุผลเดียวกัน กะไอ้แค่เด็กขายรองเท้าสาน อวดดีว่าสืบเชื้อสายจากชนชั้นสูง แต่ถึงแม้เล่าป๋าจะเกลียดเล่าปี่แค่ไหน ขงเบ้งก็ไปบอกกับเล่าปี่ว่าเราจะปล่อยคนอย่างนี้ไปไม่ได้ เขาเป็นคนฉลาดมาก เล่าปี่จึงตั้งให้เป็นตำแหน่ง 尚书 สั้งซู ภายหลังจากที่เล่าปี่ตั้งตนเป็นฮ่องเต้แล้ว หนังสือราชการทุกอย่างที่เป็นเจตจำนงของเล่าปี่ ที่ทุกคนชมนักหนาว่าเขียนได้ไพเราะ มีวาทศิลป์ ล้วนออกมาจากคนๆนี้ ไม่ใช่ขงเบ้งหรอก แต่การจะได้คนแบบนี้มาใช้งานก็ไม่ใช่ง่ายๆ เลย

       ขงเบ้งใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่าสร้างรังลวงหงส์ในการซื้อใจเล่าป๋า แผนนี้ก็คือสร้างสถานะให้คนอย่างเล่าป๋าพอใจ และมีใจที่จะทำงานต่อไป ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของบุคคลให้ได้ คนอย่างเล่าป๋าไม่ได้ต้องการทรัพย์สินหรือลาภยศจากเล่าปี่ แล้วคนอย่างเขาต้องการอะไรกันหนอ
       เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจกับค่านิยมของปราชญ์ชั้นสูงก่อน บันทึกเรื่องราวของจวงจื่อ บทชิวสุ่ย (สายน้ำแห่งฤดูใบไม้ผลิ) มีกล่าวไว้เป็นเรื่องสั้นๆ กล่าวถึงฮุ่ยจื่อ นายกแห่งแคว้นเหลียง อยู่มาวันหนึ่งจวงจื่อก็เดินทางมาแคว้นเหลียง มีคนลือว่าเขามาเพื่อแย่งตำแหน่งของฮุ่ยจื่อ ฮุ่ยจื่อก็เดิอดร้อน ส่งคนตามสืบจวงจื่อสามวันสามคืน ที่สุดแล้วจวงจื่อก็มาหาฮุ่ยจื่อ มาแล้วก็เล่าเรื่องให้ฟังว่ามีหงส์อยู่ ณ แดนใต้ มันจะบินจากทะเลใต้ไปทะเลเหนือ มันมีนิสัยสามอย่าง หนึ่งคือมันจะไปนอนบนต้นอู๋ถงเท่านั้น อู๋ถงเป็นต้นไม้ชั้นดี เนื้อหนาแต่เบา คนเอามาทำพิณทำผีผา สองคือถ้าไม่ใช่แหล่งน้ำที่หวานอร่อย มันจะไม่ดื่ม สามคือมันจะกินแต่อาหารสะอาดและเลิศรส

       ยามที่หงส์กำลังจะไปเกาะบนต้นไม้อยู่นั้น พลันสายตาก็ไปเห็น 猫头鹰 นกฮูกตัว หนึ่ง เอาขาคีบซากหนูตายไว้ นกตัวนั้นกำลังจะกินหนู ก็พอดีมองเห็นหงส์เช่นกัน มันนึกว่ามันจะมาแย่งหนูกิน จึงขู่ออกไป เพื่อไม่ให้หงส์มาแย่งหนูของมันกิน ฮุ่ยจื่อฟังจบก็หัวเราะชอบใจ จวงจื่อก็ปิดท้ายว่าคนอย่างข้าก็คือหงส์ ท่านคือนกฮูก ซากหนูคือตำแหน่งของท่าน คิดว่าข้าอยากได้นักหรือ สิ่งที่ปราชญ์จวงจื่อบอกก็คือลาภยศและตำแหน่งก็คือสิ่งที่น่ารังเกียจ ปราชญ์ชั้นสูงไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย ความคิดแบบนี้มีอิทธิพลมากมายต่อผู้คิดว่าตนเองเป็นยอดบัณฑิต สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือนิสัยสามอย่างของหงส์

นกฮูก แปลจีนแบบตรงตัวจะเรียกว่าเหยี่ยวหน้าแมว

       อันว่านิสัยสามอย่างนี้ เป็นการอุปมาอุปไมยถึงสามสิ่ง ต้นอู๋ถงก็คืออาชีพที่ประเสริฐและประณีต น้ำแหล่งหวานก็คือการงานที่น่าพอใจ อาหารเลิศรสคือชีวิตที่สัตย์ซื่อสุจริต ขงเบ้งมองออกว่าเล่าป๋าเป็นคนแบบจวงจื่อ เล่าปี่ให้เงินให้ตำแหน่ง เขากลับไม่ไยดี ขงเบ้งจึงสนองความต้องการ เล่าป๋าก็ยอมเข้าด้วยดี ข้อคิดในเรื่องนี้ก็คือ “คุณควรรู้ว่าคนในปกครองของคุณต้องการอะไร และสนองให้ได้ถ้าไม่เกินกำลังของตนเอง

       คนอย่างเล่าป๋ามีนิสัยอีกอย่างหนึ่งที่พิเศษ นั่นคือ ไม่ชอบ 应酬 เข้าสังคม ยิ่ง ไม่ชอบการพบปะพูดคุยกับคนอื่น ตอนหลังเลิกงาน คนในก๊กก็จะไปสังสรรค์ เล่นไพ่ ร้องเกะ เที่ยว... เอ้อ เที่ยวหญิง  เล่าป๋าไม่ชอบเลยพวกนี้ หมดเรื่องก็กลับบ้าน อ่านหนังสือ นอน คนแบบนี้ผู้นำไม่ควรไปบังคับเขา ตัดหนทางชีวิตของเขา ขงเบ้งว่าเลิกงานแล้วจะทำอะไรก็ทำไปเถิด เขาไม่เคยบังคับว่างานนี้ต้องไปนะเฟ้ย ไม่ไปมีเรื่องแน่ๆ ตั้งแต่นั้นมาเล่าป๋าไม่เคยคัดค้านข้องใจกับเล่าปี่อีกเลย

       จากจุดนี้แสดงให้เห็นว่าขงเบ้งเก่งมากเรื่องใช้คนเก่งแต่นิสัยแย่อย่างบัง ทอง เล่าป๋า เขาเข้าใจนิสัยส่วนตัวและแนวทางชีวิต แล้วนำมาปรับเข้ากับกลยุทธ์ในการใช้คน ผูกใจเขาให้ทำงานอย่างเต็มใจ (น่าไปดัดสันดานลิโป้นะเนี่ย ขงเบ้งกับลิโป้คงไร้เทียมทานน่าดู) ความเข้าใจในนิสัยและความต้องการบุคคลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการที่จะใช้คนได้อย่างยั่งยืน ขงเบ้งเก่งทุกอย่าง ใช้คนเก่งเฉพาะทางอย่างเล่าป๋า บังทอง ก๊กเล่าปี่ก็มีเสถียรภาพขึ้นมาบ้าง

       ปัญหาต่อไปที่จะพูดถึงในบทหน้า ก็คือการเอาชนะใจคน เล่าปี่จะไปยึดเสฉวน สถาทที่ๆเล่าเจี้ยงปกครองมานานปี คนมีความสามารถเข้าร่วมมากมาย ประชาชนรักใคร่ ภักดี จะไปยึดครองแผ่นดิน ดินแดนอย่างเดียวไม่พอ ต้องได้ใจคนด้วย ถึงกับมีคำกล่าวว่า “ยึดใต้หล้าน่ะแสนง่าย ยึดครองใจคนน่ะยาก” ปัญหาใหญ่ที่สุดของตอนนี้คือการเปลี่ยนใจคน แย่งฐานเสียงมวลชน เล่าปี่ขงเบ้งใช้วิธใดกัน โปรดติดตามได้ในตอนหน้าครับ

2 ความคิดเห็น:

  1. ย้ายบล๊อกแล้วแต่คุณภาพไม่เปลี่ยนเลย สุดยอดมาก
    อย่าลืมนำบทความเก่า ๆ มารวมไว้ที่นี่ด้วยนะครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณมากค่า ชอบมากเลยค่ะ ^_^ ได้ความรู้เยอะเลย

    ตอบลบ