วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

รู้อย่างขงเบ้ง (7) : วิถีแห่งการลงทันฑ์

       Note : 1.เกิดปัญหาบางอย่างกับโฮสภาพของบล็อกสปอทรึเปล่าไม่ทราบ อัพอะไรไปก็เจอแฝงโฆษณา ไม่ใช่เจตนาสแปมลิ้งค์โฆษณาแต่อย่างใด
       2.ผมทำเพจใน facebook https://www.facebook.com/GreatKingRamkhamhaeng เป็นเพจรวบรวมเกร็ดประวัติศาสตร์จากในเกม Civ V ใครชอบเรื่องประวัติศาสตร์ก็ไปกดไลค์กดอ่านกันได้ รับรองว่าไม่มีขายของแน่นอนครับ

       ในชีวิตการทำงาน การที่จะเจอลูกน้องที่ไม่ทำผิดเลยนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ลูกน้องบางคนก็ต่างออกไป เพราะพวกเขาเหล่านั้นมีความใกล้ชิดกับผู้นำค่อนข้างสนิทมาก คนพวกนี้มักจะมีตำแหน่งสูงๆในหน่วยงาน ซึ่งเมื่อพอพวกเขาทำผิดพลาด ก็จะกระทบกระเทือนไปหมดทั้งทางการงานและทางใจ เป็นห้าที่ของผู้นำที่จะลงทันต์คาดโทษ ถ้าลงมือไม่เหมาะสมก็เป็นเรื่องขึ้นมาได้ ปัญหานี้มีมานานนับพันๆปี แม้กระทั่งขงเบ้งก็ต้องกุมขมับกับปัญหานี้ แต่ก็ใช่ว่าจะพ้นวิสัยปัญญาของขงเบ้ง ยุคก่อตั้งก๊กใหม่ๆ การรบระส่ำ ระเบียบยุ่งเหยิง ขงเบ้งใช้วิธีใดเอาตัวรอดมาได้ โปรดติดตามชมในหัวข้อ “ยุทธการลงโทษ”


       คนโบราณมีสำนวนกล่าวว่า “วาดมังกรวาดพยักฆ์ยากขึ้นโครง รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ” หมายความว่าใจคนนั้นยากจะพยากรณ์ ยากจะเข้าใจ สมมุติให้บิ๊กจ๊ะผู้เก่งการวิเคราะห์เกมฟุตบอลมาเดาใจใครสักคน ก็ยากจะเดาออก มีหลายครั้งที่เรารู้จักคนบางคนดี จู่ๆเขาก็ทำเรื่องที่ยากจะคาดถึง คุณควรจะรู้สึกอย่างไรดีเมื่อได้รับรู้เรื่องแบบนั้น นี่เป็นปัญหาหนึ่งในช่วงชีวิตเของเล่าปี่เช่นกัน

       ฤดูใบไม้ผลิ ปี ค.ศ. 220 อยู่ๆเล่าปี่ก็ได้รับรายงานเรื่องเงื่อนงำอันยิ่งใหญ่ นั่นคือม้าเฉียวคิดจะก่อการกบฏ เรื่องนี้ทำเอาราชสำนักจ๊กปั่นป่วนไปหมด ม้าเฉียวตอนนั้นเป็นแม่ทัพคุมทหารกลุ่มหนึ่ง เป็นคนมีศักดิ์ศรีสูงมาก เมื่อเขาลุกฮือ ต้องมีคนสนับสนุนเขาเยอะมากแน่ๆ ขุนนางทุกคนร้อนใจกันไปหมด จนกระทั่งมีการคลี่คลายว่าแท้จริงข่าวไม่ใช่แบบนั้น เรื่องจริงก็คือมีคนคิดจะยุยงม้าเฉียวไปก่อการตะหาก คนๆนั้นเป็นบัณฑิตข้างตัวของเล่าปี่ ผู้ซึ่งได้รับการเคารพนับถือสูงมาก มีนามว่าแพเอี้ยว (เผิงย่างในสำเนียงจีนกลาง)

       แพเอี้ยว ชื่อรองหย่งเหนียน คนก๋งฮาน สูง 8 ฟุต รูปร่างสง่างาม ทว่าจิตใจเลวทราม เย่อหยิ่งไม่เกรงใจใคร ทั้งพูดจาที่ทุกคนยากจะฟังได้จบ เต็มไปด้วยคำหยาบ คนๆนี้เดิมทีอยู่ใต้ปกครองในอาณัติของเล่าเจี้ยงมาก่อน ก็ตั้งให้เป็นผู้ช่วยเลขาเล็กๆ ด้วยนิสัยปากดี คอยดูถูกหยามเหยียดเพื่อนร่วมงาน เล่าเจี้ยงทราบเรื่องก็ลงโทษด้วยการ “髡钳之刑 โกนผมคล้องห่วงเหล็กประจาน” แพเอี้ยวก็เจ็บแค้น ต่อมาโชคเข้าข้างเขา เพราะเล่าปี่บุกตีเล่าเจี้ยง เล่าปี่ได้รับการแนะนำจากบังทองและหวดเจ้งว่าหมอนี่ปัญญาดีอยู่ ควรแก่การใช้งาน เล่าปี่ก็รับเป็นที่ปรึกษา ตำแหน่งดีกว่าตอนอยู่กับเล่าเจี้ยงอีก พอตั้งก๊กแล้ว หลังจากเล่าปี่ได้ปกครองเขตเอ๊กจิ๋ว ก็ได้รับเลื่อนตำแหน่งอีก ระดับเดียวกับราชเลขาธิการเลย
ภาพแสดงการโกนผมก่อนจะคล้องห่วงเหล็ก

       แล้วทำไมแพเอี้ยวที่ได้ดิบได้ดีขนาดนี้ ถึงต้องการล้มล้างเจ้านายแซ่เล่าด้วยล่ะ?
เป็นเพราะว่าหลังจากที่แพเอี้ยวได้ตำแหน่งสูงๆแล้วก็เผยหางทันทีเลย กลายเป็นคนเย่อหยิ่งทะนงตน ไม่เห็นใครในสายตา ดูหมิ่นคนอื่นเหมือนอย่างเก่า ทุกคนในก๊กรู้ดีว่าขงเบ้งเกลียดคนสามประเภทเป็นอย่างมาก นั่นคือคนไม่ภักดีชอบย้ายข้าง คนไม่เคารพคน ชอบถือตนว่าใหญ่ และคนที่ยึดประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลดีโดยรวมของก๊ก คนที่โดนลงโทษในจ๊กก๊กส่วนมากมักเป็นคนสามประเภทนี้ คนแบบแพเอี้ยวก็จะโดนดีตามๆกันไป เพราะขงเบ้งหันมาจับตามองแบบเต็มที่แล้ว

       ขงเบ้งไปรายงานเล่าปี่ว่าคนแบบแพเอี้ยวควรระวังไว้ให้จงหนัก เล่าปี่ก็เด้งแพเอี้ยวให้ไปเป็นเจ้าเมืองเจียงหยางแทน นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีอย่างหนึ่ง เล่าปี่ตองการตรวจสอบแพเอี้ยว เขาโยกย้ายไปที่อื่นเพื่อจับตาดู ถ้าตัวคุณดีจริงก็ต้องพิสูจน์ฝีมือตนจนกลับมาเข้าตำแหน่งเดิมได้ จำไว้ว่ายามใดที่ผู้นำพาคุณไปทำงานระดับรากหญ้า คุณควรจะดีใจด้วยเหตุผลสองอย่าง หนึ่งคือเขาตรวจสอบวิธีการทำงานของคุณ เป็นโอกาสเพิ่มความเชื่อมั่น สองนี่คือโอกาสที่คุณได้โชว์ฝีมือให้เห็น ผู้นำจะได้จัดหาตำแหน่งที่เหมาะกว่า ดีกว่าให้คุณ ที่เป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องแย่

       ทว่าแพเอี้ยวไม่ได้คิดแบบนี้ เขาคิดแค่ว่ากำลังได้ลาภยศอยู่ดีๆก็โดนเด้งซะงั้น ใจเขาตอนนี้เหมือนดอกไม้หน้าร้อนที่โดนลมหนาว ไก่ชนขนงามที่ตกน้ำ แพเอี้ยวที่กำลังอารมณ์เสียก็ไประบายให้ม้าเฉียวฟัง ม้าเฉียวก็สงสัย ทำไมคนเก่งแบบท่านถึงได้โดนไล่มาทำงานแถวนี้ได้ แพเอี้ยวก็พูดจาพาจนด้วยประโยคที่ว่า “ไอ้เล่าปี่นี่มัน 昏庸糊涂 อภิมหาบรมโง่ ข้านั้นไร้คำพูดจะบรรยายแล้ว ให้ท่านเป็นแนวหน้า ข้าเป็นแนวหลัง เราสองจักยึดแผ่นดินนี้ได้แน่”

       คนจีนมีสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “病从口入 祸从口出 โรคเกิดจากปากกิน เคราะห์เกิดจากปากพูด” คนเราควรจะระวังคำพูดให้ดี โดยเฉพาะเวลาที่จิตใจไม่มั่นคงเช่นนี้ แพเอี้ยวที่ไม่พอใจเจ้านาย ควรจะเข้าไปพูดกับนายโดยตรง คุยกันให้รู้เช่นเห็นชาติ ไม่ก็กลับไปคิดว่าเขาเกลียดเราตรงไหนแล้วไปแก้ไข อย่างดีก็ควรกลับไปนอนคิดให้อารมณ์มันเบาลงหน่อย ที่น่ากลัวที่สุดก็คือยิ่งไม่สุขใจยิ่งปากดี คิดอะไรก็พูดยังงั้น หาเหาใส่เท้า แกว่งหัวหาเสี้ยนแท้ๆ

       คนเราควรจะมีความสามารถสี่อย่างในการพูดคุยสื่อสาร นั่นก็คือ
       หนึ่ง การแสดงออกทางคำพูด ไม่จำเป็นต้องพูดดี แต่ต้องใคร่ครวญก่อนพูด
       สอง การเข้าใจคู่สนทนา คุณไม่ควรที่จะเอาความลำบากใจของคุณเผื่อแผ่ให้คนที่ตัวเองพูดด้วย
       สาม การกระตุ้นใจตนเองในยามทุกข์ยาก ไม่มีใครที่ไม่ทุกข์ คุณเพียงแต่กระตุ้นตนไม่ให้ล้มเลิกความตั้งใจเท่านั้นพอ
       สี่ การควบคุมตนเองในสถานการณ์ย่ำแย่
       แพเอี้ยวไม่มีคุณสมบัติต่างๆเหล่านี้เลย หากไม่อยากเป็นแบบแพเอี้ยวที่ปากพาจน เรามีวิธีการสงบใจง่ายๆสองอย่างมานำเสนอ หนึ่งนั่นคือ วิถีแช่แข็ง ยามที่คุณโมโหจัด อยากตบโต๊ะด่าแม่ใครซักคน เราต้องทำตัวให้นิ่งเข้าไว้ ไม่พูดไม่ขยับ ทำไปซักพักให้อารมณ์มันลดระดับลง นักจิตวิทยาเขาวิจัยแล้วพบว่าเวลาที่เราจะซวยเพราะไม่ยั้งคิดที่สุดคือตอนที่เราโกรธใหม่ๆ ระเบิดลงนั่นแล ทำอะไรตอนนี้จะไร้เหตุผลมากขึ้น ขอเพียงอดทนให้ช่วงนี้ผ่านไปได้เราก็สบายละ อีกวิธีหนึ่งคือวิถีสลับที่ เราไปทำอะไรก็ได้ไม่ให้ใจยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ทำให้โกรธ ไปเดินเล่น ฟังเพลง ดำน้ำ นั่งสมาธิ ปลูกปะการัง ฯลฯ ให้ใจมันลืมทุกข์ซักพักแล้วกลับมาพิจารณาใหม่

      แพเอี้ยวที่ไม่ได้ทำตามนี้เลย คนมักพูดว่าเวลาที่เราโกรธเราทุกข์ถึงที่สุด บางทีอาจพาให้เราทำเรื่องต้องสำนึกเสียใจสุดซึ้งได้ในภายหลัง เราต้องควบคุมตัวเองให้อยู่ เป็นนายเหนืออารมณ์โกรธ มิใช่ให้มันจิกหัวใช้เรา หลังจากที่แพเอี้ยวไปแล้ว ม้าเฉียวก็รายงานเรื่องนี้ให้เล่าปี่ทราบทันที เล่าปี่ทราบเรื่องก็ให้คนไปจัดการจับตัวมา คนหลายคนมักเป็นแบบแพเอี้ยว คือปากพาจน คุมปากไม่ได้ แพเอี้ยวพอหายโกรธก็กลัวมาก ลงมือเขียนจดหมายไปหาขงเบ้ง เนื้อหากล่าวถึงสองเรื่อง คือแก้ต่างให้ตนเอง และวอนขงเบ้งให้เล่าปี่เห็นใจ

       ข้อหาที่แพเอี้ยวโดนไม่ใช่ปากพาจน แต่เป็นจงใจปลุกระดมให้กบฏ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของกองทัพ ต้องลงมืออย่างเข้มงวด แพเอี้ยวสุดท้ายได้รับโทษตาย จากจุดนี้เราจะเห็นได้ว่าในระหว่างที่กลุ่มทีมเรากำลังดำเนินงานอยู่ อาจจะมีใครซักคนทำผิดพลาด เรานำเอาปัญหานี้เปรียบเสมือนเดินทางไปแล้วเจอกับระเบิด พอเจอเข้าก็มีท่าทีสองแบบ อย่างหนึ่งคือช่างมัน ไม่สนใจ อีกอย่างคือเข้าไปทำให้มันระเบิดซะ แล้วเราจะเลือกทำยังไงดี หลายคนมักเลือกทำผิดอย่าง โดยเฉพาะคนดีๆทั้งหลาย จะยกตัวอย่างให้ฟัง

       สมมุติว่ามีทีมงานวิศวกรรมโยธา กำลังทำงานกัน ทำได้ไม่กี่วัน หน่วยตรวจสอบบัญชีก็แจ้งปัญหามาให้ บอกว่าคนที่จัดการด้านทรัพยากรส่งบัญชีที่ผิดพลาดมาให้ เขาปลอมแปลงบัญชี พอตามสืบหาก็พบพยานหลักฐานชัดเจน จึงตัดสินใจลงโทษคนคุมบัญชี ทว่าคนคุมกลับเสียใจร้องไห้คร่ำครวญ บอกว่าต่อไปนี้จะกลับตัวกลับใจ ไม่ทำอีกแล้ว ผู้นำทีมก็เห็นว่าความสูญเสียระดับเล็กน้อย คนคุมก็สัญญาแล้ว ก็จะปล่อยไปซักครั้ง เรื่องมันไม่จบง่ายๆแค่นี้ มหาชนพอรู้เรื่องเข้าก็ต่อว่าทำไมทีมงานไร้ความยุติธรรม ไม่ลงโทษคนคุมบัญชี ปล่อยให้ภาษีสูญไปเฉยๆได้ไง ไม่มีความละอาย แย่ไปกว่านั้นก็มีข่าวลือออกมาว่าหัวหน้าทีมมีส่วนในการโกงบัญชีคราวนี้ด้วย เดือดร้อนหนักกว่าเก่าอีก ทีมก็ล่ม หัวหน้าทีมโดนเล่นหนัก งานก็ทำไม่ได้ นี่เรียกว่าด้อยจุดเดียวพาปัญหาไม่รู้จบ

      คนที่เป็นผู้นำควรรู้ว่ายามใดที่ควรลงมือเข้มงวด เรียกว่า 惩前毖后 เรียนรู้ข้อบกพร่องจากอดีตเพื่อเลี่ยงปัญหาในอนาคต วิชาการบริหารกล่าวว่า ในยามที่เราขี่ม้าโดยมีแส้อยู่ในมือนั้น ไม่ควรตีพร่ำเพรื่อ สั่งได้ก็สั่ง ควรตีจึงตี หากไร้ซึ่งปัญหาเราก็อยู่กันอย่างสามัคคี หากปัญหาเกิดขึ้นแล้วจึงค่อยกระหน่ำฟาด นี่จึงจะสามารถช่วยคนที่เกิดเรื่อง ช่วยคนที่เกี่ยวข้อง รักษาธุรการงานของเราให้คงอยู่ได้

       ยามที่ขงเบ้งยุ่งเกี่ยวจัดการกับปัญหาที่มาจากลูกกระจ๊อก มักจะมีทีท่าที่ฉลาดเสมอ โดยปกติเขามักจะใช้สองกลยุทธ์ในการจัดการ หนึ่งคือกำหนดขอบเขตโดยเหลือช่องว่างไว้ (อีกข้อหนึ่งจะอยู่ท้ายๆเรื่อง) เขาใช้กลยุทธ์นี้กับบุคคลสำคัญคนหนึ่งในก๊ก นั่นคือลิเงียม เดิมทีเคยอยู่ใต้ปกครองกับเล่าเปียว ตอนที่โจโฉบุกตีเกงจิ๋ว ลิเงียมไม่ชอบขี้หน้าโจโฉ เลยหนีมาอยู่กับเล่าเจี้ยง ต่อมาเล่าปี่เข้าตีเล่าเจี้ยง ลิเงียมก็แปรพักตร์มาอยู่กับเล่าปี่ ได้ตำแหน่งแม่ทัพแห่งซินเอี๋ย ตอนหลังก็ได้ตำแหน่งสั้งชู เล่าปี่ใกล้ตายก็เรียกลิเงียมกับขงเบ้งมาฝากฝังธุระจัดการต่อ ไม่ได้ฝากฝังกับขงเบ้งคนเดียว

       เหตุที่เล่าปี่เรียกลิเงียมมาฝากฝังการงานก็ด้วยเหตุสองข้อ หนึ่งคือเล่าปี่มีกลุ่มขุนนางสองกลุ่ม คือกลุ่มเกงจิ๋วและกลุ่มเอ๊กจิ๋ว ซึ่งกลุ่มเอ๊กจิ๋วมีขนาดใหญ่กว่าหน่อย เล่าปี่ต้องงการให้สองกลุ่มขุนนางร่วมมือกัน จึงเลือกตัวแทนของทั้งสองกลุ่มมาฝากฝัง ลิเงียมเป็นตัวแทนของกลุ่มเอ๊กจิ๋ว สองคือตำแหน่งของลิเงียมแล้วนอกจากจะเป็นสั้งชูแล้ว ยังเป็น 中都护 (ผู้บัญชาการส่วนกลาง) มีอำนาจสั่งการทหารทั้งในนอก ขณะที่ขงเบ้งรับงานฝ่ายบุ๋น จัดการการวังการคลังไป เล่าปี่หวังว่าให้มีคนคุมแยกทั้งบุ๋นและบู๊จะได้ทำตามหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพ ไร้ภาระถ่วง ขงเบ้งจะได้ไม่ต้องจับงานทุกด้าน

       วิธีการใช้งานคนของเล่าปี่ถือได้ว่าเป็น “กฎพิเศษ”  ผู้นำหลายคนมักชอบใช้กฎนี้ การที่ใช้งานคนที่เบื้องหลังและประสบการณ์ไม่เพียงพอ ยามปกติคนแบบนี้เป็นผู้นำใครไม่ได้ แต่ว่าเราลอง “ใช้กฎพิเศษ” ให้อำนาจเขามาลองนำดูบ้าง เขาจะรู้คุณ ซาบซึ้ง และขยันมากมายกว่าเก่า แถมเขาจะฟังคำสั่งเคร่งครัดกว่า ไม่มีโต้แย้ง สี่อย่างนี้หาไม่ได้จากคนที่มีเบื้องหลังและประสบการณ์มากพอแน่นอน นี่เป็นเหตุผลที่เล่าปี่ใช้คนอย่างลิเงียม

       หลังจากที่ลิเงียมร่วมมือกับขงเบ้ง ปัญหาก็บังเกิด เขาทำตนให้ขงเบ้งต้องระแวงใจ คราวที่แล้วเราพูดถึงว่าแพเอี้ยวทำให้ขงเบ้งต้องระแวงเพราะความปากดีอวดดีของตน รอบนี้เขาต้องระแวงลิเงียมเพราะความโลภของเขา ลิเงียมเขียนจดหมายหาขงเบ้งบอกให้เขาตั้งตนเป็นฮ่องเต้ ขงเบ้งไม่ยอมตั้งตนแถมเขียนต่อว่ากลับไปอีก ต่อมาตอนที่ขงเบ้งนำทัพขึ้นเหนือ เขาเอาลิเงียมเฝ้าฮันต๋ง ลิเงียมจึงว่าเขาต้องการสร้างเขตปาโจว ตั้งเขาเป็นผู้ว่าการ ถ้าไม่ตั้งก็ไม่ไป ขงเบ้งก็ไม่ยอม ต่อมาขงเบ้งบุกขึ้นเหนือรอบสอง อยากให้ลิเงียมไปเฝ้าฮั่นจงอีกรอบ ลิเงียมจึงว่าดูอย่างก๊กวุยตอนที่เขาฝากฝังธุระให้ขุนนางใหญ่สิ เขาสร้างจวนสร้างตำหนักให้ มีทีมงานปกครองเป็นของตัวเองด้วย ข้าอยากได้แบบนั้นบ้าง ขงเบ้งก็ทำให้อย่างไม่เต็มใจ แม้จะโมโหแต่ก็ยังไม่ลงระเบิด เพื่อการใหญ่ต้องยอมไปก่อน จึงตั้งลูกเขาให้เป็นขุนนางใหญ่แคว้นเกียวจิ๋ว ลิเงียมถึงได้ยอมไปเฝ้าฮันต๋งให้

       พอเฝ้าฮันต๋งได้ไม่นาน ปัญหาก็เกิดเลย ขงเบ้งให้ลิเงียมจัดการเรื่องเสบียง เฝ้าแนวหลัง ตัวเองจะนำทัพใหญ่ไป ต่อมาก็เกิดเหตุการณืที่ตรงกับคำกล่าวว่า 忠厚长者波折少 是非小人变故多 คนเก่าแก่ผู้ซื่อสัตย์มักมิยอกย้อน ความถูกผิดของคนทรามทำให้เกิดเรื่องใหญ่ ยามที่ขุนนางคนซื่อทางงานอย่างซื่อตรง กำลังจะประสบผล จะไม่สำเร็จเพราะคนถ่อยขัดขวางนี่แหละ ลิเงียมคนถ่อยก่อเรื่องขึ้นจนได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งฝนตกหนักมาก ข้าวไม่ทันเก็บเข้ายุ้งก็ขึ้นรา ที่จริงลิเงียมเอาเหตุนี้ไปบอกขงเบ้งก็ได้ แต่ลิเงียมไม่ทำ พยายามหาข้อปกปิด ซึ่งวิธีแบบนั้มักไปไม่รอด ต้องแต่งเรื่องหนึ่งมากลบเรื่องสอง แต่งสองมากลบสาม สามกลบสี่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ คนทำแบบนี้นอกจากไม่กล้าพอแล้วยังโง่อีกตะหาก

       ลิเงียมเขียนจดหมายไปบอกว่าฮ่องเต้สั่งถอยทัพ แล้วส่งจดหมายอีกฉบับไปบอกส่วนกลางว่าขงเบ้งถอยทัพเพื่อล่อข้าศึกให้หลงกล พอขงเบ้งกลับมา ลิเงียมก็เข้าไปถามว่าเสบียงเราก็มีพอ ถอยทัพมาหาพระแสงอะไร เรื่องนี้ทำให้ขงเบ้งโกรธเป็นฟืนไฟ เอาจดหมายที่ลิเงียมเขียนออกมาให้มาดู เขาหารือร่วมกับสภาขุนนาง รายงานความประพฤติของลิเงียม ปลดออกเป็นสามัญชนแล้วเนรเทศออกไป พูดมาถึงจุดนี้ เราจะเห็นนักประวัติศาสตร์หลายท่านถกเถียงกันว่าว่าลิเงียมถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมหรือเปล่า ขงเบ้งที่ได้รับฝากฝังงานจากเล่าปี่ร่วมกับลิเงียม ตอนนี้ไล่ลิเงียมไปแดนธุรกันดาร ตัวขงเบ้งยึดกุมอำนาจทั้งการทหารและการปกครอง เอามือปิดฟ้าได้สบาย ลิเงียมควรที่จะได้อำนาจในการต่อสู้ความอยุติธรรมในครั้งนี้

       ในมุมมองของตัวผมเองเห็นว่าการต่อสู้กับความอยุติธรรมเป็นสิ่งถูก ผู้อุทิศตนให้กับการงานสมควรได้รับการแก้ไขตรงนี้เป็นที่เข้าใจได้ แต่ในกรณีของลิเงียม เขาทำผิดร้ายแรงสองอย่าง หนึ่งคือยึดถือผลได้เสียส่วนตนมากกว่าผลได้เสียในอาชีพ ยามที่เล่าปี่ฝากฝังงาน เขาหวังจะให้รับผิดชอบ อุทิศตน แต่ลิเงียมมองว่าการฝากฝังของเล่าปี่เป็นฐานดันอำนาจ เป็นบันไดขึ้นเวทีแห่งความก้าวหน้า

       หากให้ยกตัวอย่างคนดีซักคนมาเปรียบเทียบก็เช่นจูล่ง ตอนที่เล่าปี่ฝากฝังงาน จูล่งที่ตำแหน่งต่ำกว่า แต่จิตใจนิสัยยังเหนือกว่าลิเงียมที่เป็นราชเลขา ผู้บัญชาการกลางซะอีก จูล่งเป็นแค่นายพลพิทักษ์บูรพา เป็นแค่ถิงโหว ตอนหลังๆลิเงียมได้เป็นถึงผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตำแหน่งเทียบเท่ากับขงเบ้ง แม้กระนั้นลิเงียมยังต้องการรางวัล ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างสมตำแหน่ง ยังคงมีความคับแค้นใจอยู่ ขณะที่จูล่งยังคงอยู่ตำแห่งเดิม แต่เขาไม่เคยเรียกร้องอะไร ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน ยังคงปฏิบัติภารกิจแนวหน้า เทียบกับลิเงียมแล้วจริยะทางใจยังสูงกว่ามากๆ

       ความผิดข้อที่สองของลิเงียมที่ทำให้การกำจัดตัวเขาเองเป็นไปอย่างชอบธรรมก็คือใช้ความสำคัญของหน้าที่ๆได้รับผิดชอบมาต่อรองหาผลประโยชน์ คุณจะเอาอะไรมาต่อรองก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่เอาความรับผิดชอบในการงานมาต่อรอง ยามจะประจันหน้ากับข้าศึก ยกทัพไปสู้กับต่างแดน ลิเงียมต้องการผลประโยชน์ก่อนถึงไป ถ้าไม่มีไม่ต้องพูดกัน ลองนึกถึงว่าหากรัฐไม่มีผลประโยชน์ให้คุณ คุณก็จะไม่รักประเทศหรือ ถ้าขงเบ้งไม่ให้ลาภยศ ลิเงียมก็จะไม่ช่วยสร้างก๊ก ถ้าเขาเป็นทหารรับจ้างก็ว่าไปอย่าง เอาให้ใกล้ตัวกว่านั้น ถ้าพ่อแม่แก่ตัว ไม่มีผลประโยชน์ให้แล้ว เราจะไม่เลี้ยงเขาเลยหรือ นี่แหละคือความผิดพลาดขั้นร้ายแรงของลิเงียม

       ความรับผิดชอบคืออะไร มันก็คือการทำหน้าที่ของตนให้ดีโดยไม่มีข้ออ้างเลี่ยงไม่ว่าสถานการณ์ใดหรือจะอยู่ที่ไหน อะไรคือความภักดี มันก็คือความผูกพันอย่างหมายมั่นไม่ว่าจะถูกปฏิบัติอย่างไรก็ตาม ลิเงียมไม่มีทั้งความภักดีและความรับผิดชอบ เอาเข้าจริงคนแบบลิเงียมในจ๊กก๊กก็มีไม่น้อย แม้กระนั้นขงเบ้งก็ยังอดทน แถมตอนแรกๆขงเบ้งก็จัดหาให้ตามที่ลิเงียมต้องการด้วยซ้ำ ใครบางคนอาจบอกว่าคนประเภทนี้ต้องกำจัดโละทิ้งให้หมด เหลือไว้แต่คนดีๆ แต่ในความเป็นจริงการจะดูว่าใครดีใครเลวมันไม่ง่ายขนาดนั้น

       เราไม่สามารถคาดหวังให้ทุกคนเป็นคนดีได้ ที่เราทำได้ก็คือสรรหาวิธีดึงคุณลักษณะที่ดีในตัวคนออกมา เราเคยพูดไปแล้วว่าการจัดการที่ดีใช้ภูตผีทำงานของเทวดาได้ แต่การจัดการที่ไม่ดีแม้งานเทวดาก็ให้ผลแบบปีศาจได้ เราเปลี่ยนใครๆไม่ได้ ต้องให้ใครๆเขาเปลี่ยนตัวเองถึงจะได้ กลยุทธ์ของขงเบ้งคือใจคุณโลภไม่เป็นไร เราจะขีดเส้นระดับความโลภให้คุณ ขอแค่คุณอุทิศตนให้งานเรา ไม่โลภล้ำเส้นของเราก็พอ นโยบายหลักที่ขงเบ้งต้องการให้ทุกคนปฏิบัติก็คือ “ส่งเสริมส่วนกลาง สนับสนุนการบุกขึ้นเหนือ” แค่ต้องการให้ลิเงียมปฏิบัติตามนี้เท่านั้น เรื่องอื่นยังพอทนได้ แต่ลิเงียมทำลายควมเชื่อมั่นของขงเบ้งลงหมด นอกจากจะไม่ช่วยกันก๊กแล้ว ยังไม่ยอมบุกขึ้นเหนือ ทำแต่เรื่องเล็กน้อย จนคณะปกครองส่วนกลางมีมติว่าถ้าแกไม่ขัดขวางการงานก็ดีไป แต่ยุ่มย่ามเมื่อไหร่โดนจัดหนัก

       แม้ขงเบ้งจะลงโทษขนาดหนัก แต่ก็ไม่ใช้โทษตายแก่ลิเงียม เพราะยังไงซะลิเงียมก็เป็นขุนนางที่ร่วมฝากฝังงานกันมา การลงโทษคนปกติเราทำแบบสอบสวนนักโทษ ตบโต๊ะเอาไฟส่องตาได้ แต่กับขุนนางระดับสูงคุณต้องคิดถึงสองเรื่อง หนึ่งถ้าคุณลงมือหนักไป จะเกิดผลอะไรต่อมหาชนผู้ทราบข่าวบ้าง อาจมีข้อครหาว่าขัดแย้งภายในหรือเปล่า อีกอย่างหนึ่งคืออาจเกิดการปะทะกันระหว่างทีมลูกน้องกับหัวหน้า เผชิญหน้ากันขัดแย้ง ฉะนั้นต้องประมาณการให้ดี

       การลงโทษลิเงียม ขงเบ้งได้ยึดหลักข้อใหญ่ไว้สามข้อ นั่นคือ
       หนึ่ง เปิดเผยเรื่องราวความผิด ความขัดแย้งก่อนลงมือ
       คือหาหลักฐานมาชี้แจงให้กระจ่างว่าลิเงียมผิดยังไง ทำตัวแบบไหน สมควรได้รับการลงโทษหรือไม่
       สอง ใช้หลักประชาธิปไตย ให้คนหลายคนลงความเห็น
       ขงเบ้งสรรหาขุนนางกว่า 20 คน ลงชื่อถอดถอนลิเงียมออกจากก๊ก เพื่อให้ขุนนางทุกคนได้รับรู้ทั่วกันว่าเราไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวนะ
       สาม แม้จะปลดออกจากตำแหน่งทั้งหมด แต่ก็ยังให้ทางรอด ให้ความเคารพ ให้ทางหนีทีไล่
       ขงเบ้งยังรักษาชีวิตไว้ ไม่ได้ยึดทรัพย์ ไม่ได้ดูหมิ่น แถมยังไปปลอบใจลิเงียมด้วยตนเอง เขียนจดหมายหาลูกลิเงียมที่ยังรับตำแหน่งอยู่ว่าคุณยังอยู่นะ ไม่ได้ไล่ไปไหน ที่ผิดคือพ่อคุณ แต่ก็ยังให้โอกาสกลับมาทำงานต่อ

       ลูกน้องแบบลิเงียมเขามีปัญหาด้านความประพฤติ ก่อปัญหาให้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ลูกน้องอีกประเภทหนึ่งที่ก่อปัญหาได้ไม่แพ้กันก็คือลูกน้องที่ด้อยความสามารถ ยิ่งคนแบบนี้ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้นำแล้วด้วยเนี่ยจะทำยังไง คนๆนี้หลายคนอาจคุ้นหน้า เขาก็คือม้าเจ๊ก ม้าโยวฉาง เขาเป็นคนที่ขงเบ้งเชื่อใจมาก ความน่าอับอายที่สุดคือเมื่อคนที่เขาเชื่อมั่นมากมายทำพลาด แล้วจะจัดการยังไงดี ถ้าลงมือเบาไปก็ว่าลำเอียง ถ้าลงมือหนักก็ว่าใจดำอำมหิต

       ปี ค.ศ. 228 ขงเบ้งนำทัพขึ้นกิสาน เมืองรายทางถูกตีแตกหมด เทียนซุย ลำอั๋น อันตื้งล้วนยอมสยบ หนึ่งในยุทธภูมิสำคัญก็คือที่เกเต๋ง ขงเบ้งเลือกม้าเจ๊กมาจัดการป้องกันเขตแดนนี้ ด้วยเหตุผลที่มีคนเขาคาดเดาสองอย่าง หนึ่งคือขงเบ้งมั่นใจมากว่าจะชนะศึกรอบนี้ เกเต๋งสำคัญมาก ต้องให้คนเชื่อใจอันดับหนึ่งไปดูแล สองคือขงเบ้งเห็นแก่ตัว เขาไม่อยากให้จูล่ง อุยเอี๋ยนได้หน้า จะใช้คนของตัวเองจัดการอย่างเดียว อยากให้ม้าเจ๊กได้ก้าวหน้าบ้าง เลยผลักดันเต็มที่ จะได้มาช่วยงานกันในอนาคต แต่แล้วไม่ว่าจะเลือกด้วยเหตุผลใด ม้าเจ๊กก็พลาดท่า ละเขตน้ำ ขึ้นบนเขา ไม่กันทางเข้า ไม่สร้างค่าย สุดท้ายถูกตีแตก พางานใหญ่ล่มหมด

       มีคนหลายๆคนได้วิเคราะหืกันว่าเพราะเหตุใดม้าเจ๊กถึงเสียเกเต๋ง ก่อนเราจะถกตรงนี้ เราจะขอพูดถึงหมากรุกจีนกันก่อน คนเก่าแก่พูดกันว่าขอแค่เรียนเดินม้าเดินระเบิดให้เป็น จะสนุกจนไม่ต้องกินข้าว ในเกมหมากรุกยังได้แฝงวิธีการฝึกกลยุทธ์การบริหารอันยิ่งใหญ่เอาไว้ด้วย เช่นว่าหมากสองตัวที่อยู่ข้างตัวขุนที่เรียกว่า  士 เป็นตัวแทนบัณฑิตที่คอยถวายคำรายงานและให้คำปรึกษา แต่ละก้าวของการเดินหมากตัวนี้เรียกว่า 支士 แฝงนัยว่าเป็นบัณฑิตต้องคอยส่งเสริมผู้นำ และไม่ว่ายังไง หมากตัวนี้จะไม่มีวันก้าวออกจากเขตวังเป็นอันขาด (ดูรูปประกอบ) ซึ่งเขตวังแสดงความหมายถึงขอบเขตคำสั่งของผู้นำ หมากกำลังสอนเราว่าบัณฑิตผู้ให้คำปรึกษารายงานความเห็น ไม่ควรมาออกรบนำทัพ 
 ตัว "บัณฑิต" ขนาบข้างขุนที่อยู่ตรงกลางของทั้งสองฝั่ง เขตกากบาทคือเขตวัง

       ขงเบ้งที่ใช้ม้าเจ๊กดำเนินการทัพ หมายความว่าเขากำลังลงหมากผิด เขาฝ่าฝืนกฎของตัวหมาก 士 เอามาเดินนำทัพซะงั้น เราจะมาถกกันว่าทำไมบัณฑิตแบบนี้ไม่ควรเอามาออกรบในแนวหน้า เรื่องเกิดเพราะปัญหาทางปัญญาแท้ๆ เพราะนักวางแผนทางทฤษฎีโดยมากมักมีนิสัยอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “ความคิดสุดโต่ง” ตัวอย่างก็เช่นลองไปถามเด็กอนุบาลว่า 1+1 เท่ากับเท่าไหร่ เด็กก็จะตอบกลับมาว่า 2 ไง ดูสิหนูฉลาดมั้ย

       ทว่าเมื่อนำคำถามนี้ไปถามในคนที่มีระดับการศึกษาต่างกัน จะเกิดอะไรขึ้น เด็ก ป.3 จะบอกว่าก็ 2 ไง ใครๆก็ตอบได้ ถ้าไปถามเด็กมัธยม นอกจากเขาจะไม่ตอบแล้ว ยังด่ากลับมาด้วยว่านี่ดูถูกสติปัญญากันหรือไง แต่เมื่อไปถามนักศึกษาปริญญาเอกบางคน เขาจะดันแว่นขึ้นสันจมูกด้วยนิ้วกลาง ร่ายยาวว่า “คำถามนี้คุณถามได้ดีมาก หากมองในแง่ของหลักปรากฏการณ์วิทยา ภาษาศาสตร์ คณิตศาสตร์ จิตวิทยา โน่นศาสตร์ นี่วิทยา ฯลฯ เราจะได้มุมมองต่างกันเยอะแยะเลย เอางี้สิ คุณกับผมมาวิจัยร่วมกันดีกว่า ลงทุนคนละแสนเพื่อชื่ออันเป็นนิรันตร์ในแวดวงวิชาการ” เป็นเพราะเขารู้เยอะ ความคิดแตกต่าง ทำให้ใครหลายๆคนอดมองด้วยสายตาประหลาดๆมิได้

       แม้ว่าคุณจะเรียนรู้มาเยอะ แต่ก็ต้องมีสามัญสำนึก หัดมองโลกในแง่มุมปกติบ้าง ถึงจะเป็นคนที่เก่งจริงๆ ปัญญาที่แท้จริงควรจะเป็นดังนี้ คือมีความรู้ความเข้าใจ และประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างกัน แต่ก็ไม่ลังเลในเรื่องของหลักความจริงเชิงธรรมดา ม้าเจ๊กไม่ตระหนักถึงข้อนี้ ที่จริงทำตามวิธีที่ขงเบ้งสั่งก็ชนะแล้ว แต่เขาเลือกที่จะออกนอกลู่นอกทางด้วยนิสัยนักคิดสุดโต่ง อยากอวดภูมิ เล่นนอกบท งิ้วในปัจจุบันมีการแสดงชุดที่เรียกว่า 失空斩 คือตัวย่อจากการแสดงสามอย่าง จากเสียเกเต๋ง จากแผนเมืองร้าง จากประหารม้าเจ๊ก ซึ่งอันสุดท้ายนี้เป็นหัวข้อที่เราจะถกกันต่อไป
ตัวอย่างงิ้วชุด 失空斩 เริ่มจากเสียเกเต๋ง จบด้วยการประหาร
(ใครที่เห็นเป็นภาพโฆษณา กดชมได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=_NalaD5qnH0)

       ผมมีกรณีประวัติศาสตร์ในบทงิ้วสองตอนที่ค่อนข้างชอบ หนึ่งคือตอนขงเบ้งหลังน้ำตาฆ่าม้าเจ๊ก กับอีกตอนคือ ซ่งเจียงตบโต๊ะด่าหลี่ขุยในเรื่องร้อยแปดผู้กล้าฯ ขอพูดถึงคดีม้าเจ๊กก่อน ในงิ้วก็บอกว่าม้าเจ๊กแพ้มา ต้องกลับมารับโทษ ขงเบ้งเรียกออกเป๋งก่อน เข้ามาแล้วด่าแบบจัดหนัด ก่อนจะไล่ไปแล้วเรียกม้าเจ๊กเข้ามา ม้าเจ๊กก็หงอเข้ามาเลย เขาดีกว่าลิเงียมหน่อยตรงที่ผิดก็รับโดยดี มิมีแต่งเรื่องเบือนอันใด ขงเบ้งไม่ด่าไม่ตี เอาแต่บ่นว่าโยวฉางเอยโยวฉาง ทำไมไม่ฟังข้า ถ้าทำตามที่ข้าว่าป่านนี้วินไปแล้ว ม้าเจ๊กจึงว่าข้าพเจ้าเพียงอยากลองวิธีใหม่ๆ มีหัวครีเอทีฟกับเขามั่ง

       จริงอยู่ที่แนวคิดแปลกใหม่เป็นเรื่องดี แต่กับข้าวธรรมดาที่เลี้ยงคนได้อิ่มอร่อย วิธีการปกติที่ทำงานได้เสร็จเร็วและมีคุณภาพ นี่ถึงจะเป็นการบริหารขั้นสูง ในด้านความไม่ปกติและนอกรีตแล้ว การใช้วิธีเหล่านี้ไปจัดการเรื่องธรรมดามีแต่จะทำร้ายทั้งผู้อื่นและตัวเอง ม้าเจ๊กบอกให้ลงโทษเลย ตนเองยินดีรับเต็มใจ ขงเบ้งว่าข้าไม่ลงโทษเจ้าหรอก พลางโยนสัญญาออกมาให้ดู กล่าวต่อว่าเจ้าบอกเองนี่ว่าถ้าแพ้ให้ประหารได้เลย ม้าเจ๊กเห็นขงเบ้งเอาจริงจึงอ้อนวอนขอชีวิต แต่แล้วขงเบ้งหลั่งน้ำตาพลางว่าไม่ใช่ข้าคิดจะฆ่าเจ้า กฎอัยการศึกตะหากที่บังคับข้า ข้าประหารเจ้าก็เจ็บเหมือนมีดกรีดใจ แต่จะไม่ประหารไม่ได้ กฎต้องเป็นกฎ

       ขงเบ้งสั่งประหารม้าเจ๊กในคราวนี้ เป็นผลดีต่อก๊กสองอย่าง อย่างแรกเป็นการปรามคนอื่นว่าอย่าทำแบบนี้อีก แม้จะเป็นคนสนิทคนรักแค่ไหน แต่ทำตัวแบบนี้ก็โดนดีแน่ๆ กองทัพเกิดความเกรงกลัวขึ้นมา ให้ความเคารพยิ่งกว่าเดิม อย่างที่สองคือเกิดความซาบซึ้งในเหล่านายพล เขาจะมองว่าผู้นำท่านนี้ปฏิบัติด้วยมาตรฐานอย่างเดียวกัน  มีคำกล่าวว่าผู้นำที่ดีต้องทำให้ลูกน้องทั้งรักทั้งเกรงกลัว พ่อแม่ที่ดีต้องทำให้ลูกๆทั้งรักทั้งเกรงให้ได้ นี่ถึงจะเป็นวิธีการเข้มงวดที่ถูกต้อง

       ขงเบ้งขอฮ่องเต้ลดขั้นตนเองลงสามขั้น เป็นการรักษาศักดิ์ศรีตนเอง เขาผิดเองที่ไปเชื่อใจม้าเจ๊ก จึงแสดงตนรับผิดชอบ การกระทำนี้สามารถเพิ่มความผูกพันในกองทัพ เพิ่มคุณค่าในหน้าที่การงานของตนเอง เขาจัดการกับลิเงียมด้วยวิธี “กำหนดขอบเขตโดยเหลือช่องว่างไว้” แต่กับม้าเจ๊ก เขาใช้วิธีที่สอง คือ “เข้มงวดกวดขั้น เพิ่มพูนความสัมพันธ์ทางใจ” หลังจากที่เขาใช้วิธีนี้เรียกขวัญทหารแล้ว การงานก็เดินหน้าไปในทางที่ดี ในตอนต่อไปเราจะพบกับปัญหาใหม่ของขงเบ้ง เป็นความท้าทายในการเลือกผู้สำเร็จงานแทนตนเอง เขาจะเลือกคนแบบไหนดี จะใช้คนรุ่นใหม่ยังไงให้ได้เรื่อง การงานทุกประเภทจะต้องมีตัวตายตัวแทนไว้เสมอ ขงเบ้งจะจัดหาและฝึกสอนตัวตายตัวแทนยังไง เชิญติดตามชมตอนหน้า ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายแล้วครับ